วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554

ขโมยของผิด

...
เจ้าอาวาสผู้ชราได้ยินเสียง อะไรบ้างอย่างในโบสถ์เลยเดินเข้าไปดู และพบว่ามีขโมยคนหนึ่งกำลังใช้มีดงัดตู้บริจาคเงิน ทันใดนั้น ขโมยหันมีดในมือ ชี้มาที่ เจ้าอาวาส แล้วพูดว่า
“อย่าเข้ามานะไม่งั้น แกตายแน่ “


“ถ้าจะเอาเงินในตู้ละก็ เอานี้กุญแจ เอาไปไขเลย “เจ้าอาวาสตอบด้วยสีหน้าเป็นปรกติ

“ลูกไม้ หรือเปล่า ถ้าตุกติก แกตายแน่”

“หิวหรือเปล่าล่ะ ตรงมุมโน้นมีอาหารวางอยู่ เอาไปกินได้นะ”เจ้าอาวาส ตอบด้วยน้ำเสียงเมตตา ท่านสังเกตว่า ขโมยคนนี้ท่าทางคงไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน

ขโมย คว้าของกินใส่ปาก อย่างหิวโหย อีกมือ ก็ไขกุญแจตู้ และกวาดเงินใส่ประเป๋า
“ห้ามแกแจ้งความนะ ไม่งั้นฉันจะกลับมาฆ่าแกแน่ๆ” ขโมยพูด


“ไม่หรอก ไม่แจ้งความ แต่คงต้องบอกคณะกรรมการวัดนะ ว่าเงินหายไป”เจ้าอาวาสตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

หลังจากนั้น อีกไม่กี่วัน ขโมยคนนี้โดน ตำรวจจับได้เพราะไป ขึ้นบ้านคนอื่น เขาโดนตัดสินติดคุก 5 ปี
หลังจากออกจากคุก ขโมยคนนี้ได้กลับมาหาเจ้าอาวาส พร้อมมีดในมือ แล้วถามว่า
“หลวงพ่อจำผมได้ไม๊ ?”


“อ้อ คุณที่เคยเข้ามาขโมยเงินที่วัด จำได้” เจ้าอาวาสตอบ

“ผมจะกลับมาขโมยอีกแล้ว”

“เอา นี้ !!! กุญแจตู้เงิน “ เจ้าอาวาสพูดพร้อมกับส่งกุญแจตู้ให้

“คราวที่แล้วผมเข้ามาขโมย แต่ผมขโมยของผิดไป คราวนี้ผมไม่ได้มาขโมยเงิน แต่ผมจะมาขโมย ความรัก ความเมตตา ที่ท่านมีต่อผม บวชให้ผมด้วยนะ หลวงพ่อ !!!..." พูดเสร็จ ขโมย ก็ก้มลงวางมีด แล้วกราบเจ้าอาวาสผู้ชรา...


ที่มา : ทำดีดอทเนต

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2554

เป็นสุขในความเปลี่ยนแปลง

คนเราย่อมปรารถนาความเปลี่ยนแปลง หากว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นอยู่ในอำนาจของเราหรือสอดคล้องกันความต้องการของเรา ไม่มีใครอยากขับรถคันเดิม ใช้โทรศัพท์เครื่องเดิม หรืออยู่กับที่ไปตลอดมิจำต้องพูดถึงการอยู่ในอิริยาบถเดิมๆ เราต้องการสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ แต่ความจริงอย่างหนึ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ก็คือมีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เราไม่ต้องการแต่หนีไม่พ้น ความเปลี่ยนแปลงอย่างนี้แหละที่ผู้คนประหวั่นพรั่นพรึงวิตกกังวลเมื่อนึกถึงมัน และเป็นทุกข์เมื่อมันมาถึง
แต่ยังมีความจริงอีกอย่างหนึ่งที่เราพึงตระหนักก็คือ สุขหรือทุกข์นั้นมิได้ขึ้นอยู่กับว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับเรา แต่อยู่ที่ว่าเรารู้สึกอย่างไรกับสิ่งนั้นต่างหาก แม้มีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับเรา แต่ถ้าเราไม่รู้สึกย่ำแย่ไปกับมัน หรือวางใจให้เป็น มันก็ทำให้เราเป็นทุกข์ไม่ได้ กนกวรรณ ศีลป์สุข เป็นโรคธารลัสซีเมียตั้งแต่เกิด ทำให้เธอมีร่างกายแคระแกร็น กระดูกเปราะและเจ็บป่วยด้วยโรคแทรกซ้อนนานาชนิดซึ่งมักทำให้อายุสั้น แต่เธอกับน้องสาวไม่มีสีหน้าอมทุกข์แต่อย่างใด กลับใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เธอพูดจากประสบการณ์ของตัวเองว่า “มันไม่สำคัญหรอกว่าเราจะเป็นอย่างไร หรือมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิต แต่สำคัญทีว่าเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว เราคิดกับมันยังไงต่างหาก สำหรับเราสองคน ความสุขเป็นเรื่องทำง่ายมาก ถ้าใจของเราคิดว่ามันเป็นสุข”
โอโตทาเกะ ฮิโรทาดะ เกิดมาพิการ ไร้แขนไร้ขา แต่เขาสามารถช่วยตัวเองได้แทบทุกอย่าง ในหนังสือเรื่อง “ไม่ครบห้า” เขาพูดไว้ตอนหนึ่งว่า “ผมเกิดมาพิการแต่ผมมีความสุขและสนุกทุกวัน” ใครที่ได้รู้จักเขาคงยอมรับเต็มปากว่าเขาเป็นที่มีความสุขคนหนึ่ง อาจจะสุขมากกว่าคนที่มีอวัยวะครบ (แต่กลับเป็นทุกข์เพราะหน้ามีสิวผิวตกกระ หุ่นไม่กระชับ)
ในโลกที่ซับซ้อนและผันผวนปรวนแปรอยู่เสมอ เราไม่สามรรถเลือกได้ว่าจะต้องมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับเราตลอดเวลาแต่เราเลือกได้ว่าจะมีปฏิกิริยากับสิ่งนั้นย่างไร รวมทั้งเลือกได้ว่าจะยอมให้มันมีอิทธิพลต่อเราอย่างไรและแค่ไหน
ในวันที่แดดจ้าอากาศร้อนอ้าว บุรุษไปรษณีย์คนหนึ่งยืนรอส่งเอสารหน้าบ้านหลังใหญ่ หลังจากเรียกหาเจ้าของบ้านแต่ไม่มีวีแววว่าจะมีคนมารับ เขาก็ร้องเพลงไปพลางๆ เสียงดัง ชัดเจนไปทั้งซอย ในที่สุดเจ้าของย้านก็ฮฮฏ๗ษฏฆ้องร์มารับเอกสาร เธอมีสีหน้หงุดหงิด เมื่อรับเอสารเสร็จเธอก็ถามบุรุษไปรษณีย์ว่า “ร้อนแบบนี้ยังมีอารมณ์ร้องเพลงอีกเหรอ” เขายิ้มแล้วตอบว่า “ถ้าโลกร้อนแต่ใจเราเย็น มันก็เย็นครับ ร้องเพลงเป็นความสุขของผมอย่างหนึ่ง ส่งไปร้องไป” ว่าแล้วเขาก็ขับรถจากไป เราสั่งให้อากาศตลอดเวลาไม่ได้ แต่เราเลือกได้ว่าจะยอมให้อากาศร้อนมีอิทธิพลต่อจิตใจของเราได้แค่ไหน นี้คือเสรภาพอย่างหนึ่งที่เรามีกันทุกคน อยู่ที่ว่าเราจะใช้เสรีภาพชนิดนี้หรือไม่ พูดอีกอย่างก็คือ ถ้าเราหงุดเหงิดเพราะอากาศร้อนนั่นแสดงว่าเราเลือกแล้วที่จะยอมให้มันยัดเยียดความทุกข์แก่ใจเรา
ถึงที่สุดแล้วสุขหรือทุกข์อยู่ที่เราเลือก มิใช่มีใครมาทำให้ถึงแม้จะป่วยด้วยโรคร้าย เราก็ยังสามารถมีความสุขได้
โจว ต้า กวน เด็กชายวัย 10 ขาว เป็นโรคมะเร็งที่ขา จนต้องผ่าตัดถึง 3 ครั้ง เขาได้เขียนบทกวีเล่าถึงประสบการณ์ในครั้งนั้นว่า เมื่อพ่อแม่จูงมือเขาเข้าห้องผ่าตัดเขาเลือก “น้องสงบ” เป็นเพื่อน (แทนที่จะเป็น “น้องกังวล”) เมื่อเข้าห้องผ่าตัดครั้งที่สองเขาเลือก “ลุงมั่นคง” เป็นเพื่อน (แทนที่จะเป็น “ป้ากลัว”) เมื่อพ่ออุ้มเขาเข้าห้องผ่าตัดเป็นครั้งที่สาม เขาเลือก “ชีวิต” เป็นเพื่อน (แทนที่จะเป็น “ความตาย”) ด้วยการเลือกเช่นนี้มะเร็งจึงบั่นทอนได้แต่ร่างกายของเขา แต่ทำอะไรจิตใจเขาไม่ได้

เมื่อใดก็ตามที่ความเปลี่ยนแปลงอันไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นหากเราไม่สามารถสกัดกั้นหรือบรรเทาลงได้ ในยามนั้นไม่มีอะไรดีกว่าการหันมาจัดการกับใจของเราเอง เพื่อให้เกิดความทุกข์น้อยที่สุด หรือใช้มันให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ด้วยตัวอย่างวิธีต่อไปนี้
1.การยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว
การยอมรับความจริงที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้เราเลิกบ่น ตีโพย ตีพายหรือมัวแต่ตีอกชกหัว ซึ่งมีแต่จะเพิ่มความทุกข์ให้แก่ตนเองคนเรามักซ้ำเติมตัวเองด้วยการบ่นโวยวายในสิ่งที่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้
เรามักทำใจยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นแล้วไม่ได้ เพราะเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง ไม่น่าเกิดขึ้น ไม่ยุติธรรม (“ทำไมต้องเป็นฉัน”) แต่ยิ่งไปยึดติดหรือหมกมุ่นกับเหตุผลเหล่านั้น เราก็ยิ่งเป็นทุกข์ แทนที่จะเสียเวลาและพลังงานไปกับการบ่นโวยวาย ไม่ดีกว่าหรือหากเราจะเอาเวลาและพลังงานเหล่านั้นไปใช้ในการรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
เด็กสามคนได้รับมอบหมายให้ขนของขึ้นรถไฟ แต่ระหว่างที่กำลังขนของเด็กชาย สองคนก็ผละไปดูโทรทัศน์ซึ่งกำลังถ่ายทอดสดการชกมวยของนักชกเหรียญทองโอลิมปิค เมื่อมีคนถามเด็กหญิงซึ่งกำลังขนของอยู่คนเดียวว่า เธอไม่โกรธหรือคิดจะด่าว่าเพื่อสองคนนั้นหรือ เธอตอบว่า “หนูขนของขึ้นรถไฟ หนูเหนื่อยอย่างเดียว แต่ถ้าหนูโกรธหรือไปด่าว่าเขา หนูก็จะต้องเหนื่อยสองอย่าง นะซิคะ”
การยอมรับความจริง ไม่ได้แปลว่ายอมจำนนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเลือกที่จะไม่ยอมทุกข์เพราะความเปลี่ยนแปลง
อีกทั้งยังทำให้สามารถตั้งหลักหรือปรับตัวปรับใจพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างดีที่สุด

2.ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
นอกจากบ่นโวยวายกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เรามักทุกข์เพราะอาลัยอดีตอันงดงาม หรือกังวลกับสิ่งเลวร้ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตสุดท้ายก็เลยไม่เป็นอันทำอะไร
ไม่ว่าจะอาลัยอดีตหรือกังวลกับอนาคตเพียงใด ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น กลับทำให้เราย่ำแย่กว่าเดิม สิ่งเดียวที่จะทำให้อะไรดีขึ้นค้นก็คือการทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ทางข้างหน้าแม้จะยาวไกลและลำบากเพียงใด แต่เราไม่มีวันถึงจุดหมายเลยหากไม่ลงมือก้าวเสียแต่เดี๋ยวนี้ รวมทั้งใส่ใจกับแต่ละก้าวให้ดีถ้าก้าวไม่หยุดในที่สุดก็ต้องถึงที่หมายเอง
บรู๊ซ เคอร์นี นักไต่เขา พูดไว้อย่างน่าสนใจว่า
“ทุกอย่างมักจะดูเลวร้ายกว่าความจริงเสมอเมื่อเรามองจากที่ไกลๆ เช่น หนทางขึ้นเขาดูน่ากลัว...บางเส้นทางอาจดูเลวร้ายจนคุณระย่อและอยากหันหลังกลับ นานมาแล้วผมได้บทเรียนสำคัญ คือแทนที่จะมองขึ้นไปข้างบนและสูญเสียกำลังใจกับการจินตนาการถึงอันตรายข้าหน้าผมจับจ้องอยู่ที่พื้นใต้ฝ่าเท้าแล้วก้าวไปข้างหน้าที่ละก้าว”

3.มองแง่บวก
มอแง่บวกไม่ได้หมายถึงการฝันหวานว่าอนาคตจะต้องดีแน่แต่หมายถึงการมองเห็นสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ปัจจุบัน ไม่ว่าเจ็บป่วย ตกงาน หรือ อกหัก ก็ยังมีสิ่งดีๆ อยู่รอบตัวและในตัวเรา รวมทั้งมองเป็นสิ่งดีๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ในความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นด้วย
หลายคนพบว่าการที่เป็นมะเร็งทำให้ตนเองได้มาพบธรรมะและความสุขที่ลึกซื้อจึงอดไม่ได้ที่จะอุทานว่า “โชคดีที่เป็นมะเร็ง” ขณะที่บางคนบอกว่า “โชคดีที่เป็นแค่มะเร็งสมอง”...
ถึงที่สุด ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเราก็ล้วนดีเสมอ อย่างน้อยก็ดีที่ไม่แย่ไปกว่านี้

4.มีสติ รู้เท่าทันตนเอง
เมื่อความเปลี่ยนแปลงไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น เรามักมองออกนอกตัว และอดไม่ได้ที่จะโทษคนโน้น ต่อว่าคนนี้ และเรียกหาใครต่อใครมาช่วยแต่เรามักลืมดูใจตนเอง ว่ากำลังปล่อยให้ความโกรธแค้น ความกังวล และความท้อแท้ครอบงำใจไปแล้วมากน้อยเพียงใด เราลืมไปว่าเป็นตัวเราเองต่างหากที่ยอมให้เหตุการณ์ต่างๆ รอบตัวยัดเยียดความทุกข์ให้แก่ใจเรา ไม่เราดอกหรือที่เลือกทุกข์มากกว่าสุข การมีสติ ระลึกรู้ใจที่กำลังจมอยู่กับความทุกข์ จะช่วยพาใจกลับสู่ความปกติ เห็นอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นโดยไม่ไปข้องเกี่ยว จ่อมจม หรือยึดติดถือมั่นมัน อีกทั้งยังเปิดช่อ และบ่มเพาะปัญญาให้ทำงานได้เต็มที่สามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี หรือมองเห็นด้านดีของมันได้
สติและปัญญาทำให้เรามีเสรีภาพที่จะเลือกสุขและหันหลังให้กับความทุกข์ใช่หรือไม่ อิสรภาพที่แท้คือความสามารถในการอนุญาตให้สิ่งต่างๆ มีอิทธิพลต่อชีวิตของเราได้เพียงใด ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายของทรัพย์สิน ของผู้คนรอบตัว รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้ หากเราเข้าถึงอิสรภาพนั้นๆ แทนที่เราจะมัววิงวอนเรียกร้องให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ถูกใจเราไม่ดีกว่าหรือหากเราพยายามพัฒนาตนบ่มเพาะจิตใจให้เข้าถึงอิสรภาพดังกล่าว ควบคู่ไปกับการสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้เกิดขึ้นแก่ตนเองและสังคม