วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทำวัตรเย็น พร้อมแปล


คำบูชาพระรัตนตรัย
โย โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
                พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น องค์ใด เป็นพระอรหันต์ ดับเพลิงกิเลส เพลิงทุกข์สิ้นเชิง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
สวากขาโต เยนะ ภะคะวะตา ธัมโม
                พระธรรเป็นธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ใด ตรัสไว้ดีแล้ว
สุปะฏิปันโน ยัสสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
                พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ใด ปฏิบัติดีแล้ว
ตัมมะยัง ภะคะวันตัง สะธัมมัง สะสังฆัง อิเมหิ สักกาเรหิ ยะถาระหัง อาโรปิเตหิ อะภิปูชะยามะ
                ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอบูชาอย่างยิ่ง ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์ ด้วยเครื่องสักการะทั้งหลายเหล่านี้ อันยกขึ้นตามสมควรแล้วอย่างไร
สาธุ โน ภันเต ภะคะวา สุจิระรินิพพุโตปิ
                ข้าพแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ปรินิพพานนานแล้ว ทรงสร้างคุณอันสำเร็จประโยชน์ไว้แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย
ปัจฉิมา ชะนะตานุกัมปะมานะสา
                ทรงมีพระหฤทัยอนุเคราะห์แก่พวกข้าพเจ้า อันเป็นชนรุ่นหลัง
อิเม สักกาเร ทุคคะตะปัณณาการะภูเต ปะฏิคคันหาตุ
                ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงรับเครื่องสักการะ อันเป็นบรรณาการของคนยากทั้งหลายเหล่านี้
อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ
                เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนานเทอญ
.............................................
ทำวัตรเย็น
คำบูชาพระรัตนตรัย
                อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา
                                พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นพระอรหันต์ ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
                พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ
                                ข้าพเจ้าอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
(กราบ)
                สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม
                                พระธรรม เป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ดีแล้ว
                ธัมมัง นะมัสสามิ
                                ข้าพเจ้านมัสการพระธรรม
(กราบ)
                สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
                                พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีแล้ว
                สังฆัง นะมามิ
                                ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์
(กราบ)
.............................................
คำทำวัตรเย็น
ปุพพภาคนมการ
หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส
                เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทำความนอบน้อมอันเป็นเบื้องต้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด
.............................................
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต  ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
อะระหะโต                           ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส
สัมมาสัมพุทธัสสะ             ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
(กล่าว ๓ ครั้ง)
.............................................
๑.พุทธานุสสติ
หันทะ มะยัง พุทธานุสสตินะยัง กะโรมะ เส
                เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทำความตามระลึกถึงพระพุทธเจ้าเถิด
.............................................
ตัง โข ปะนะ ภะคะ วันตัง เอวั กัลป์ยาโณ กิตติสัทโท อัพภุคคะโต
                                                                     ก็กิตติศัพท์อันงามของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นได้ฟุ้งไปแล้วอย่างนี้ว่า
อิติปิ โส ภะคะวา                                      เพราะเหตุอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
อะระหัง                                                     เป็นผู้ไกลจากกิเลส
สัมมาสัมพุทโธ                                         เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
วิชชาจะระณะสัมปันโน                         เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
สุคะโต                                                        เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี
โลกะวิทู                                                      เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
อนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ              เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า
สัตถา เทวะมะนุสสานัง                          เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
พุทโธ                                                          เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม
ภะคะวาติ                                                   เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ดังนี้
.............................................

๒. พุทธาภิคีติ
หันทะ มะยัง ธัมมาภิคีติง กะโรมะ เส
                เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทำความขับคาถา พรรณนาเฉพาะพระพุทธเจ้าเถิด
.............................................
พุทธวาระหันตะวะระตาทิคุณาภิยุตโจ
                พระพุทธเจ้าประกอบด้วยคุณ มีความประเสริฐแห่งอรหันตคุณเป็นต้น
สุทธาภิญา ณะกะรุณาหิ สะมาคะตัตโต
                มีพระองค์อันประกอบด้วยพระญาณ และพระกรุณาอันบริสุทธิ์
โพเธสิ โย สุชะนะตัง กะมะลังวะ สูโร
                พระองค์ใด ทรงกระทำชนที่ดีให้เบิกบน ดุจอาทิตย์ทำบัวให้บาน
วันธมะหัง ตะมะระณัง สิระสา ชิเนนทัง
                ข้าพเจ้าไหว้พระชินสีห์ ผู้ไม่มีกิเลส พระองค์นั้น ด้วยเศียรเกล้า
พุทโธ โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง
                พระพุทธเจ้าพระองค์ใด เป็นสรณะอันเกษมสูงสุด ของสัตว์ทั้งหลาย
ปะฐะมานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง
                ข้าพเจ้าไหว้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น อันเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกองค์ที่หนึ่ง ด้วยเศียรเกล้า
พุทธัสสาหัสมิ ทาโส (ทาสี) วะ พุทโธ เม สามิสสะโร
                ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นนาย มีอิสระเหนือข้าพเจ้า
พุทโธ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม
                พระพุทธเจ้าเป็นเครื่องกำจัดทุกข์ และทรงไว้ซึ่งประโยชน์แก่ข้าพเจ้า
พุทธัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตจิทัง
                ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้ แด่พระพุทธเจ้า
วันทันโตหัง (ตีหัง) จะริสสามิ พุทธัสเสวะ สุโพธิตัง
                ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่จักประพฤติตาม ซึ่งความตรัสรู้ดีของพระพุทธเจ้า
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง
                สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน
                ด้วยการกล่าวคำสัจจ์นี้ข้าเจ้าพึงเจริญในพระศาสนา ของพระศาสดา
พุทธัง เม วันทะมาเนนะ (มานายะ) ยัง ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ
                ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ซึ่งพระพุทธเจ้า ได้ขวนขวายบุญใด ในบัดนี้
สัพเพปิ อันตะรายา เม มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา
                อันตรายทั้งปวง อย่าได้มีแก่ข้าพเจ้ ด้วยเดชแห่งบุญนั้น
(หมอบกราบลง)
กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา
                ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี
พุทเธ กุกัมมัง ปะกะตัง มายา ยัง
                กรรมน่าติเตียนอันใด ที่ข้าพเจ้ากระทำแล้ว ในพระพุทธเจ้า
พุทโธ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง
                ขอพระพุทธเจ้า จงงดซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้น
กาลันตะเร สังวะริตุง วะ พุทเธ
                เพื่อการสำรวมระวัง ในพระพุทธเจ้า ในกาลต่อไป*
  *     บทขอให้งดโทษนี้ มิได้เป็นการล้างบาป เป็นเพียงการเปิดเผยตัวเอง และคำว่าโทษในที่นี้หมายถึงกรรม   หมายถึงโทษเพียงเล็กน้อยซึ่งเป็น “ส่วนตัว” ระหว่างกันที่พึงอโหสิกันได้ กรรมขอขมาชนิดนี้สำเร็จผลได้ในเมื่อผู้ขอตั้งใจทำจริงๆ และเป็นเพียงศีลธรรม และสิ่งที่ควรประพฤติ
๓. ธัมมานุสสติ
หันทะ มะยัง ธัมมานุสสะตินะยัง กะโรมะ เส
         เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทำความตามระลึกถึงพระธรรมเถิด
.............................................
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม                      พระธรรมเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
สันทิฏฐิโก                                                        เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง
อะกาลิโก                                                          เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล
เอหิปัสสิโก                                                      เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด
โอปะนะยิโก                                                    เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหี ติ                      เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ดังนี้
๔. ธัมมาภิคีติ
หันทะ มะยัง ธัมมาภิคีติง กะโรมะ เส
                เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทำความขับคาถา พรรณนาเฉพาะพระธรรมเถิดส
.............................................
สวากขาตะตาทิคุณะโยคะวะเสนะ เสยโย
                พระธรรม เป็นสิ่งที่ประเสริฐเพราะประกอบด้วยคุณ คือความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วเป็นต้น
โย มัคคะปากะปะริยัตติวิโมกขะเภโท
                เป็นธรรมอันจำแนกเป็น มรรค ผล ปริยัติ และนิพพาน
ธัมโม กุโลกะปะตะนา ตะทะธาริธารี
                เป็นธรรมทรงไว้ซึ่งผู้ทรงธรรม จากกรตกไปสู่โลกที่ชั่ว
วันทามะหัง ตะมะหะรัง วะระธัมมะเมตัง
                ข้าพเจ้าไหว้พระธรรมอันประเสริฐนั้น อันเป็นเครื่องขจัดเสียซึ่งความมืด
ธัมโม โย สัพพะปาณีนัง สะระณั เขมะมุตตะมัง
                พระธรรมใด เป็นสรณะอันเกษมสูงสุด ของสัตว์ทั้งหลาย
ทุติยานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง
                ข้าพเจ้าไหว้พระธรรมนั้น อันเป็นที่ตั้งแห่งความระลึก องค์ที่สองด้วยเศียรเกล้า
ธัมมัสสาหัสมิ ทาโส (ทาสี) วะ ธัมโม เม สามิกิสสะโร
                ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระธรรม พระธรรมเป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจ้า
ธัมโม ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม
                พระธรรมเป็นเครื่องกำจัดทุกข์ และทรงไว้ซึ่งประโยชน์แก่ข้าพเจ้า
ธัมมัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตจิทัง
                ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้ แด่พระธรรม
วันทันโตหัง (ตีหัง) จะริสสามิ ธัมมัสเสวะ สุธัมมะตัง
                ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่จักประพฤติตาม ซึ่งความเป็นธรรมดีของพระธรรม
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง
                สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระธรรมเป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน
                ด้วยการกล่าวคำสัจจ์นี้ข้าพเจ้าพึงเจริญในพระศาสนา ของพระศาสดา
ธัมมัง เม วันทะมาเนนะ (มานายะ) ยัง ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ
                ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ซึ่งพระธรรม ได้ขวนขวายบุญใด ในบัดนี้
สัพเพปิ อันตะรายา เม มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา
                อันตรายทั้งปวง อย่าได้มีแก่ข้าพเจ้ ด้วยเดชแห่งบุญนั้น
(หมอบกราบลง)
กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา
                ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี
ธัมเม กุกัมมัง ปะกะตัง มายา ยัง
                กรรมน่าติเตียนอันใด ที่ข้าพเจ้ากระทำแล้ว ในพระธรรม
ธัมโม ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง
                ขอพระธรรม จงงดซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้น
กาลันตะเร สังวะริตุง วะ ธัมเม
                เพื่อการสำรวมระวัง ในพระพุทธเจ้า ในกาลต่อไป
.............................................
๕. สังฆานุสสติ
หันทะ มะยัง สังฆานุสสตินะยัง กะโรมะ เส
เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทำความตามระลึกถึงพระสงฆ์เถิด
.............................................
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
                พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด ปฏิบัติดีแล้ว
อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
                พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด ปฏิบัติตรงแล้ว
ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
                พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว
สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
                พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด ปฏิบัติสมควรแล้ว
ยะทิทัง  ได้แก่บุคคลเหล่านี้คือ
จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา
                คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ ๘ บุรุษ
เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
                นับแหละสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
อาหุเนยโย            เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา
ปาหุเนยโย            เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ
ทักขิเณยโย            เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน
อัญชะลีกะระณีโย
                                                เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี
อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสา ติ
                                                เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้
.............................................
๖. สังฆาภิคีติ
หันทะ มะยัง สังฆาภิคีติง กะโรมะ เส
เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทำความขับคาถา พรรณนาเฉพาะพระสงฆ์เถิด
.............................................
สัทธัมมะโช สุปะฏิปัตติคุณาทิยุตโต
                พระสงฆ์ที่เกิดโดยพระสัทธรรมประกอบด้วยคุณมีความปฏิบัติดี เป็นต้น
โยฏฐัพพิโธ อะริยะปุคคะละสังฆะเสฏโฐ
                เป็นหมู่แห่งพระอริยบุคคลอันประเสริฐ แปดจำพวก
สีลาทิธัมมะปะวะราสะยะกายะจิตโต
                มีกายและจิต อันอาศัยธรรมมีศีล เป็นต้น อันบวร
วันทามะหัง ตะมะริยานะคะณัง สุสุทธัง
                ข้าพเจ้าไหว้หมู่แห่งพระอริยเจ้าเหล่านั้น อันบริสุทธิ์ด้วยดี
สังโฆ โย สัพพาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง
                พระสงฆ์หมู่ใด เป็นสรณะอันเกษมสูงสุด ของสัตว์ทั้งหลาย
ตะตะยานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง
                ข้าพเจ้าไหว้พระสงฆ์หมู่นั้น อันเป็นที่ตั้งแห่งความระลึก องค์ที่สามด้วยเศียรเกล้า
สังฆัสสาหัสมิ ทาโส (ทาสี) วะ สังโฆ เม สามิกิสสะโร
                ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระสงฆ์ พระสงฆ์เป็นนาย มีอิสระเหนือข้าพเจ้า
สังโฆ ทุขัสสะ มาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม
                พระสงฆ์เป็นเครื่องกำจัดทุกข์ และทรงไว้ซึ่งประโยชน์แก่ข้าพเจ้า
สังฆัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง
                ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระสงฆ์
วันทันโตหัง (ตีหัง) จะริสสามิ สังฆัสโสปะฏิปันนะตัง
                ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่จักประพฤติตาม ซึ่งความปฏิบัติดีของพระสงฆ์
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง สังโฆ เม สะระณัง วะรัง
                สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระสงฆ์เป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุ สาสะเน
                ด้วยการกล่าวคำสัจจ์นี้ ข้าพเจ้าพึงเจริญในพระศาสนา ของพระศาสดา
สังฆัง เม วันทะมาเนนะ (มานายะ) ยัง ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ
                ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ซึ่งพระสงฆ์ ได้ขวนขวายบุญใด ในบัดนี้
สัพเพปิ อันตะรายา เม มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา
                อันตรายทั้งปวง อย่าได้มีแก่ข้าพเจ้า ด้วยเดชแห่งบุญนั้น
(หมอบกราบลง)
กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา
                ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี
สังเฆ กุกัมมัง ปะกะตัง มายา ยัง
                กรรมน่าติเตียนอันใด ที่ข้าพเจ้ากระทำแล้ว ในพระสงฆ์
สังโฆ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง
                ขอพระสงฆ์ จงงดซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้น
กาลันตะเร สังวะริตุง วะ สังเฆ
                เพื่อการสำรวมระวัง ในพระสงฆ์ ในกาลต่อไป
(จบคำทำวัตรเย็น)
.............................................

บารมีสามสิบทัส (แบบครูบาศรีวิชัย)



ทานะปาระมี สัมปันโน
ทานะอุปะปาระมี สัมปันโน
ทานะปะระมัตถะปาระมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมี สัมปันโน
อิติปิโส ภะคะวาฯ
สีละปาระมี สัมปันโน
สีละอุปะปาระมี สัมปันโน
สีละปะระมัตถะปาระมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมี สัมปันโน
อิติปิโส ภะคะวาฯ
เนกขัมมะปาระมี สัมปันโน
เนกขัมมะอุปะปาระมี สัมปันโน
เนกขัมมะปะระมัตถะปาระมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมี สัมปันโน
อิติปิโส ภะคะวาฯ
ปัญญาปาระมี สัมปันโน
ปัญญาอุปะปาระมี สัมปันโน
ปัญญาปะระมัตถะปาระมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมี สัมปันโน
อิติปิโส ภะคะวาฯ
วิริยะปาระมี สัมปันโน
วิริยะอุปะปาระมี สัมปันโน
วิริยะปะระมัตถะปาระมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมี สัมปันโน
อิติปิโส ภะคะวาฯ
ขันตีปาระมี สัมปันโน
ขันตีอุปะปาระมี สัมปันโน
ขันตีปะระมัตถะปาระมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมี สัมปันโน
อิติปิโส ภะคะวาฯ
สัจจะปาระมี สัมปันโน
สัจจะอุปะปาระมี สัมปันโน
สัจจะปะระมัตถะปาระมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมี สัมปันโน
อิติปิโส ภะคะวาฯ
อะธิฐานะปาระมี สัมปันโน
อะธิฐานะอุปะปาระมี สัมปันโน
อะธิฐานะปะระมัตถะปาระมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมี สัมปันโน
อิติปิโส ภะคะวาฯ
เมตตาปาระมี สัมปันโน
เมตตาอุปะปาระมี สัมปันโน
เมตตาปะระมัตถะปาระมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมี สัมปันโน
อิติปิโส ภะคะวาฯ
อุเปกขาปาระมี สัมปันโน
อุเปกขาอุปะปาระมี สัมปันโน
เอุเปกขาปะระมัตถะปาระมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมี สัมปันโน
อิติปิโส ภะคะวาฯ
ทะสะปาระมี สัมปันโน
ทะสะอุปะปาระมี สัมปันโน
ทะสะปะระมัตถะปาระมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมี สัมปันโน
อิติปิโส ภะคะวาฯ
                พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ นะมามิหังฯ
********************

บทปลงสังขาร



         มนุษย์เราเอ๋ย              เกิดมาทำไม                            นิพพานมีสุข                          อยู่ใยมิไป
ตัณหาหน่วงหนัก               หน่วงชักหน่วงไว้                 ฉันไปมิได้                               ตัณหาผูกพัน
ห่วงนั้นพันผูก                     ห่วงลูกห่วงหลาน                  ห่วงทรัพย์สินศฤงคาร          จงสละเสียเถิด
จะได้ไปนิพพาน                 ข้ามพ้นภพสาม                      ยามหนุ่มสาวน้อย                  หน้าตาแช่มช้อย
งามแล้วทุกประการ            แก่เฒ่าหนังยาน                     แต่ล้วนเครื่องเหม็น              เอ็นใหญ่เก้าร้อย
เอ็นน้อยเก้าพัน                   มันมาทำเข็ญใจ                      ให้ร้อนให้เย็น                        เมื่อยขบทั้งตัว
ขนคิ้วก็ขาว                           นัยน์ตาก็มัว                             เส้นผมบนหัว                         ดำแล้วกลับหงอก
หน้าตาเว้าวอก                     ดูน่าบัดสี                                  จะลุกก็โอย                              จะนั่งก็โอย
เหมือนดอกไม้โรย             ไม่มีเกสร                                 จะเข้าที่นอน                           พึงสอนภาวนา
พระอนิจจัง                          พระอนัตตา                             เราท่านเกิดมา                         รังแต่จะตาย
ผู้ดีเข็ญใจ                              ก็ตายเหมือนกัน                     เงินทองทั้งนั้น                       มิติดตัวไป
ตายเป็นผี                              ลูกเมียผัวรัก                            เขาชักหน้าหนี                       เขาเหม็นซากผี
เปื่อยเน่าพุพอง                    หมู่ญาติพี่น้อง                        เขาหามเอาไป                         เขาวางลงไว้
เขานั่งร้องไห้                       แล้วกลับคืนมา                       อยู่แต่ผู้เดียว                             ป่าไม้ชายเขียว
เหลียวไม่เห็นใคร               เห็นแต่ฝูงแร้ง                         เห็นแต่ฝูงกา                           เห็นแต่ฝูงหมา
ยื้อแย่งกันกิน                       ดูน่าสมเพช                             กระดูกกูเอ๋ย                            เรี่ยรายแผ่นดิน
แร้งกาหมากิน                     เอาเป็นอาหาร                        เที่ยงคืนสงัด                           ตื่นขึ้นมินาน
ไม่เห็นลูกหลาน                 พี่น้องเผ่าพันธุ์                       เห็นแต่นกเค้า                         จับเจ่าเรียงกัน
เห็นแต่นกแสก                    ร้องแรกแหกขวัญ                  เห็นแต่ฝูงผี                             ร้องไห้หากัน
มนุษย์เราเอ๋ย                        อย่าหลงกันเลย                       ไม่มีแก่นสาร                          อุตสาห์ทำบุญ
ค้ำจุนเอาไว้                          จะได้ไปสวรรค์                      จะได้ทันพระพุทธเจ้า           จะได้เข้านิพพาน
                        อะหัง วันทามิ สัพพะโส   อะหัง วันทามิ นิพพานะปัจจะโย โหตุ
********************