วันอังคารที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ปีใหม่


                วันที่ ๑ มกราคม ของทุกปี เป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวโลกที่ถือเป็นโอกาสเฉลิมฉลองด้วยการจัดกิจกรรมรื่นเริงต่างๆ หรือไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำบุญสุนทาน ด้วยหวังให้ได้พบความสุข ความสวัสดีในชีวิตในปีใหม่ ในทางพุทธศาสนาถือว่าเรื่องของเทศกาลนั้นเป็นเรื่องที่สมมติกันขึ้นมา สาระที่แท้จริงอยู่ที่ว่าเมื่อเวลาผ่านไป ชีวิตควรจะดำเนินไปอย่างไรจึงจะประสบกับความสุขสวัสดี ได้จริง ในกรณีนี้ พุทธศาสนาได้แสดงทางสู่ความสวัสดีไว้สี่ประการ
                ๑.โพชฌังคะ คือดำเนินชีวิตด้วยปัญญา จะทำการสิ่งใดก็พิจารณาให้รอบคอบถี่ถ้วน ฝึกฝนความคิดให้รู้แจ้งด้วยใจว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดควรเว้น ทำให้ชีวิตดำเนินไปตามครรลองความถูกต้อง มีสวัสดิภาพและความปลอดภัย
                ๒.ตบะ คือมีความเพียรกล้าแข็ง สามารถแผดเผาความชั่วร้ายที่มีอยู่ภายในตน ไม่ว่าจะเป็นอบายมุข สิ่งเสพติด แม้ความคิดฝ่ายชั่วที่เกิดขึ้นก็กำราบหักห้ามเสียได้ด้วยกำลังใจอันเด็ดเดี่ยว
                ๓.อินทรีย์สังวร คือสำรวมอินทรีย์ คอยระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอาไว้ เพราะเป็นช่องทางเข้ามาของเรื่องราวต่างๆ ทั้ง ดี ชั่ว ชอบ ชัง จึงต้องคอยระวังและรู้ทันไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเรื่องราวเหล่านี้ จะดูอะไรหรือฟังอะไรก็ต้องมีสติและใช้เหตุผลประกอบเสมอ
                ๔.สัพพะนิสสัคคะ คือสละหรือปล่อยวางสิ่งที่บีบคั้นให้เกิดความทุกข์ ไม่ใช่ปล่อยวางหน้าที่หรือหลีกหนีปัญหา แต่เป็นการแยกความทุกข์ใจซึ่งเป็นเพียงอารมณ์อย่างหนึ่งออกมา แล้วบริหารจัดการกับปัญหาตามที่ควรจะทำ
                การจะส่งท้ายปีเก่าหรือต้อนรับปีใหม่อย่างมีสาระและเกิดคุณค่าได้จริง ต้องเริ่มจากการปฏิบัติที่ตัวเองนี่แหละ เพราะเรื่องจริงอยู่ที่นี่ ถ้าเรื่องจริงดี เรื่องสมมติที่เป็นส่วนประกอบก็ดีไปด้วย ถ้าเรื่องจริงไม่ดี จะสมมติหรือยึดถือกันว่าดีแค่ไหน ก็ดีไปตลอดไม่ได้ นี่คือข้อคิดที่ควรพิจารณาเมื่อปีใหม่มาถึงอีกครั้งหนึ่ง

....................................

วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ความเกรงใจ


                การที่เราไม่กล้าปลุกคนที่กำลังนอนหลับอยู่ก็ดี ไม่อยากรบกวนขณะที่เขากำลังมีภารกิจยุ่งอยู่ก็ดี หรือไม่กล้าเอ่ยปากขอร้องเขาเพื่อขอความช่วยเหลือก็ดี ลักษณะเช่นนี้เป็นมารยาทที่ดีอย่างหนึ่ง เรียกว่า ความเกรงใจ คือ ความคิดที่ไม่ต้องการให้ผู้อื่นต้องลำบากเดือดร้อน หรือรำคาญใจเพราะตน
                ธรรมดาของคนที่อยู่ร่วมกันตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป ย่อมจะมีใครบางคนที่ชอบพูดหรือทำอะไรแบบไม่เกรงใจกัน ไม่คำนึงว่าผู้อื่นจะรู้สึกอย่างไร ขอให้ได้พูดหรือทำตามอารมณ์ของตนก็พอ เช่นนี้ไม่ดีแน่ มีแต่จะสร้างปัญหา หรือความเกลียดชังให้เกิดแก่ตนเปล่าๆ สิ่งที่จะช่วยประสานให้การอยู่ร่วมกันอย่างสันติอย่างหนึ่งคือ ความเกรงใจต่อกัน หรือให้เกียรติกัน หากไม่เหลือบ่ากว่าแรง พออดทนไหวก็อดทนอดกลั้นไว้บ้าง
                การกระทำก็ต้องระมัดระวังเช่นเดียวกัน เช่น ไม่ก่อความรำคาญแก่คนอื่นที่อยู่ร่วมกันหลายคน จะเอาสะดวกสบายเหมือนอยู่คนเดียวไม่ได้ การอยู่คนเดียวอาจจะทำอะไรได้ตามใจชอบ แต่ถ้าอยู่หลายคนจะทำอย่างนั้นไม่ได้ ต้องรู้จักเกรงใจคนอื่น มิเช่นนั้นจะเกิดการขัดใจกัน เช่น คนหนึ่งจะนอนอีกคนหนึ่งจะร้องเพลง คนหนึ่งต้องการความสงบ ต้องการอ่านหนังสือ อีกคนต้องการเปิดวิทยุเสียงดัง เมื่อความต้องการเกิดขัดกันเช่นนี้ ความขัดแย้งความนึกรังเกียจชินชังย่อมบังเกิดขึ้น อันเป็นเหตุนำมาซึ่งการขาดความปรองดองสามัคคีกันในที่สุด
                ความเกรงใจมีจุดที่น่าสนใจ ตรงที่เห็นความสำคัญในความรู้สึกของผู้อื่นเป็นใหญ่กว่า ความรู้สึกของตน รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา เข้าถึงความจริงของธรรมชาติว่าเรารู้สึกเช่นไร ผู้อื่นก็เป็นเช่นนั้น ทั้งๆ ที่บางขณะอยากทำอยากพูดอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ข่มระงับความต้องการนั้นไว้ เพราะเกรงจะไปกระทบความรู้สึกของคนอื่น กลัวว่าเขาจะไม่สบายใจและเกิดความรังเกียจตน คนที่มีความเกรงใจผู้อื่นเช่นนี้ จะเป็นคนมีเสน่ห์ น่ารัก เป็นที่เมตตาของคนทั่วไป ต่างจากคนที่ขาดความเกรงใจคนอื่นไม่คำนึงว่าใครเขาจะคิดอย่างไร จะเป็นที่เกลียดชังของคนทั้งหลายไม่มีใครอยากคบด้วย เพราะฉะนั้นจึงควรพิจารณาดูตัวเองอยู่เนืองๆ ว่าเราเป็นคนประเภทไหน วันนี้เกรงใจใครบ้างหรือยัง

.........................................

ชีวิตใหม่


                ในทางพุทธศาสนาถือว่า การได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง และเมื่อได้ชีวิตมาแล้ว การดำเนินชีวิตให้เจริญรุ่งเรืองจนประสบผลสำเร็จก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก ในเทศกาลปีใหม่ หลายๆ คน ก็เตรียมตัวเตรียมใจที่จะฉลองกันอย่างเต็มที่ และมีอีกจำนวนไม่น้อย ถือเอาโอกาสกันเป็นมงคลสมัยนี้ว่าเป็นการเริ่มชีวิตใหม่ แต่ในทางพระพุทธศาสนาได้ให้คำสอนไว้ว่า จุดเริ่มต้นของชีวิตคือ ปฏิสนธิวิญญาณ หมายความว่า ชีวิตใหม่เริ่มเมื่อมีปฏิสนธิวิญญาณกำเนิดในครรภ์ของมารดา แล้วเจริญโดยลำดับ ดังนี้คือ ๑.เป็นโลหิตใส (กะละลัง) ๒.เป็นโลหิตข้น(อัพพุททัง) ๓.เป็นชิ้นเนื้อ (เปสิ) ๔.เป็นก้อนเนื้อ (ฆะโน) ๕.แยกออกเป็นปัญจะสาขา (ปะสาขา) คือ ศีรษะ ๑ แขน ๒ และ ขา ๒
                เมื่อได้ชีวิตมาและดำเนินไปครบรอบปี ท่านสอนให้ทบทวนความหลัง ระวังความผิด เตือนจิตของตน เพื่อปรับปรุงแก้ไขชีวิตในปีใหม่ให้สมบูรณ์ เช่น การดำเนินชีวิตในปีที่ผ่านมาเสมอตัว คือไม่มีอะไรดีขึ้นหรือเลวลง ก็ปรับปรุงให้ดีขึ้น หรือการดำเนินชีวิตในปีที่ผ่านมาขาดทุน คือตกต่ำ พบแต่ความผิดหวัง ปรารถนาอะไรแล้วไม่ได้ตามปรารถนา ก็ต้องหันมาทบทวนความหลังว่า ผิดพลาดเพราะเหตุอะไร แล้วระมัดระวังเพิ่มขึ้น จะได้ไม่ทำผิดซ้ำซากและเตือนจิตของตนอยู่ตลอดเวลา
                ผู้หวังความเจริญและความสุข จึงควรละทิ้งการดำเนินชีวิตแบบเก่าที่ขาดทุนหรือไม่มีกำไรแล้วมาสร้างชีวิตใหม่ ดังนี้
                ขยันหมั่นเพียรอยู่เสมอ มีสติไม่พลั้งเผลอทุกขณะจิต ทำมาหาเลี้ยงชีวิตโดยถูกถ้วน ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำ สำรวมอารมณ์ให้มีเหตุผล ดำรงตนอยู่ในทางถูก ปลูกความไม่ประมาทในทุกสถาน
                เมื่อดำเนินตามหลักพุทธพจน์นี้ ชีวิตใหม่ในรอบปีใหม่ ย่อมเป็นชีวิตใหม่ที่ไม่ขาดทุนและสมบูรณ์อย่างแน่นอน

.............................................

ทำดียังไม่สาย


                คนโบราณมักสอนลูกหลานว่า อยู่ที่ไหนก็ให้ทำดี คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ คนจะเจริญก้าวหน้าจะต้องมีความดีประจำตัว ความดีช่วยให้มีเสน่ห์ คนรูปร่างหน้าตาสวยย่อมมีเสน่ห์ ทำให้คนอยากมอง แต่ความสวยไม่จิรังเท่ากับความดี ดังคำกล่าวที่ว่า “ความสวยไม่คงที่ ความดีสิคงทน”
                หากาจะถามว่า ความดีคืออะไร คำตอบอาจจะแตกต่างกันไป แต่เมื่อกล่าวโดยสรุป สิ่งที่เป็นความดีนั้นจะมีลักษณะ คือ ๑.ถูกต้องดีงาม ๒.ไม่ทำให้ตนและคนอื่นเดือดร้อน และ ๓.มีผลเป็นความสงบสุข เครื่องตัดสินว่าสิ่งนั้นดีหรือไม่ มี ๒ แนวทางคือ
                ๑.ทางโลก ใช้กฎหมายและขนบธรรมเนียมประเพณีของสังคม
                ๒.ทางธรรม ใช้หลักศาสนา กล่าวคือ การกระทำที่เป็นไปโดยชอบ ถูกต้องตามหลักทั้งทางโลกและทางธรรม
                ถือได้ว่าเป็นความดี ซึ่งจะส่งผลให้ตนและผู้อื่นไม่เดือดร้อน แต่ถ้าเป็นไปในทางตรงกันข้ามก็เป็นความไม่ดี มีผลเป็นทุกข์แก่ตนและผู้อื่น ด้วยเหตุนี้เมื่อจะทำสิ่งไร เพื่อป้องกันความผิดพลาด ควรใช้หลักการทั้ง ๓ อย่าง นั้นมาวินิจฉัยก่อน ถ้าเห็นว่าถูกต้องดีงาม ไม่ก่อความเดือดร้อน ผลสะท้อนเป็นความสงบสุขก็ควรทำ แต่ถ้าตรงกันข้ามก็ไม่ควรทำ ไม่มีคำว่าสายสำหรับการทำความดีเลย ทำดีเมื่อไรก็ดีเมื่อนั้น ทำดีแต่ละครั้ง ก็ได้ชื่อว่าได้สร้างความรุ่งเรืองให้แก่ชีวิตเพิ่มขึ้น คนส่วนมากอยากได้รับผลดีแต่ไม่ยอมลงทุนสร้างเหตุแห่งดี จึงไม่ได้ดีตามที่มุ่งหวัง ดังคำกลอนที่ว่า
                                อยากได้ดีไม่ทำดีนั้นมีมาก                ดีแต่อยากหากไม่ทำน่าขำหนอ
                                อยากได้ดีต้องทำดีอย่ารีรอ ดีแต่ขอรอแต่ดีไม่ดีเอย
                สำรวจตัวท่านดูว่า สายไปหรือยังสำหรับการทำดีในวันนี้

..................................

หิน


                 หิน คือของแข็งที่ประกอบด้วยแร่ชนิดเดียวหรือหลายชนิดรวมตัวกันอยู่ตามธรรมชาติ สามารถพบเห็นได้โดยทั่วไป นักวิทยาศาสตร์ได้จัดประเภทของหินไว้หลายชนิด มนุษย์รู้จักนำเอาหินมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันตั้งแต่บรรพกาลแล้ว เช่น ใช้เป็นอาวุธและเครื่องไม้เครื่องมือชนิดต่างๆ  นอกจากนั้นก็ยังนำมาสร้างบ้านเรือ ที่อยู่อาศัยอีกด้วย เหตุผลประการหนึ่งที่ใช้หินก็คือ มองเห็นคุณลักษณะที่สำคัญ ๔ ประการ ได้แก่ ๑.แข็ง ทำลายได้ยาก ไม่แตกสลายง่ายๆ  ๒.หนัก คือมีน้ำหนักในตัวมันเอง  ๓.ทน คือทนแดดทนฝน ทนต่อทุกสภาพธรรมชาติ และ ๔.เย็น ปกติหินจะมีความเย็น ในตัวมันเองสูง เมื่อได้รับความร้อนก็สามารถคลายความร้อนได้เร็ว
                ในชีวิตของคนเรานั้น ต้องประสบกับปัญหาต่างๆ มากมาย ทั้งที่เกิดจากคนและจากธรรมชาติ จึงต้องคอยแก้ปัญหาอยู่ตลอด แก้ได้ก็รอดตัวไป แก้ไม่ได้ก็เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน ถึงกระนั้น ก็อย่าเพิ่งหมดกำลังใจหรือท้อแท้ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา คำกล่าวที่ว่า ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไขนั้น ยังเป็นความจริง เมื่อต้องประสบกับปัญหาใดๆ ในขั้นต้นขอให้นำเอาคุณลักษณะของหินทั้ง ๔ ประการดังกล่าวนั้นมานึก คิด และพิจารณาเปรียบเทียบกับตัวเรา แล้วลองตั้งคำถามตัวเองว่า บัดนี้ เรามีคุณสมบัติเหมือนกับหินบ้างหรือไม่ กล่าวคือ
                แข็ง        เข้มแข็งทั้งกายและใจ ไม่ย่อท้ออะไรง่ายๆ
                หนัก       หนักแน่น มั่นคง ไม่หวั่นไหวต่อปัญหาทั้งปวง
                ทน          อดทน ทนทาน หนักเอาเบาสู้
                เย็น         กายเย็น วาจาเย็น ใจเย็น สงบเยือกเย็น
                เราพร้อมแล้วที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาทั้งปวงอย่างไม่สะทกสะท้านอย่าง หิน หรือยัง

..................................

ตาย


                ท่านที่ไปร่วมฟังสวดพระอภิธรรม คงเคยเห็นตาลปัตร ๔ ด้าม ที่พระสงฆ์ใช้ขณะสวด ปักเป็นข้อความด้ามละวรรคเรียงกันไปว่า “ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น” ทั้งหมดจะเกี่ยวกับความตายทั้งนั้น ความตายเป็นสิ่งที่ทุกชีวิตต้องประสบ หลบไม่ได้ เลี่ยงไม่พ้น แม้ว่าจะไม่มีใครปรารถนาแต่ก็ต้องพบ
                เมื่อเรารู้ว่าถึงอย่างไรก็ต้องตาย แล้วจะทำอย่างไร ท่านพุทธทาสภิกขุ เคยกล่าวสอนไว้ว่าการตาย เป็นหน้าที่ของสังขารอย่างไม่มีทางเปลี่ยนแปลง แก้ไข นอกจากต้อนรับให้ถูกวิธี มีคติอุทาหรณ์ที่ดีและการมีชีวิตอยู่อย่างมีประโยชน์แก่ทุกฝ่าย เป็นหน้าที่ของผู้ที่ยังไม่ตายและรู้หน้าที่ของตน...
                การคิดถึงความตายหรือการไปร่วมงานศพ อาจจะทำให้จิตใจเศร้าสลดหดหู่ แต่หากมองในแง่ของธรรมะ ก็มีสาระให้ความคำนึงได้ ดังนี้
                ๑.ได้เห็นความดี เห็นคุณค่าแห่งชีวิตปรากฏชัดขึ้น อันก่อให้เกิดความอาลัยรัก เสียดายเมื่อตายจาก
                ๒ได้ความสามัคคีปรองดอง เกิดความเห็นใจ เข้าใจ ไม่ทอดทิ้งหรือนิ่งดูดาย
                ๓.มองเห็นสัจธรรม ว่าทุกอย่างต่างมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และช่วยให้มีสติ ได้ความสำนึกที่ดี
                ๔.รีบทำที่พึ่งแก่ตน โดยยึดเอาคนตายเป็นเครื่องเตือนตนให้เร่งละชั่ว ทำดี ทำจิตให้บริสุทธิ์ ไม่ประมาทเมามัว คิดว่าตัวยังไม่ตาย ตรงตามพุทธภาษิตว่า “เพียรทำความดีเสียตั้งแต่วันนี้ เพราะไม่มีใครรู้ได้ว่าพรุ่งนี้จะตายหรือยังอยู่” คิดในแง่นี้ ความตายก็มีประโยชน์ คือเป็นตัวเร่งให้เราขยันทำความดี ทำหน้าที่ให้หมดจดเรียบร้อย  ดังนั้น เราท่านทั้งหลายจงรีบขวนขวายหาที่พึ่ง และเตือนตนไว้เสมอว่า
เกิดมาจงสร้าง แต่ความดี

..................................

วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

มนุษย์-ภูเขาไฟ


                ภูเขาไฟ เมื่อสังเกตจากรูปลักษณ์ภายนอก ก็ดูเหมือนจะไม่แตกต่างจากภูเขาธรรมดาทั่วไป แต่ในความเป็นจริง ภูเขาไฟต่างจากภูเขาประเภทอื่นเป็นอย่างยิ่งตรงที่มีไฟ หรือลาวา ที่ร้อนแรงอยู่ภายใน ขณะที่ภูเขาอื่นไม่มี เมื่อใดที่ภูเขาไฟยังไม่ระเบิด หรือไม่มีอาการส่อว่าจะระเบิด ก็มองไม่ออก มีต้นไม้ นานาพันธุ์ขึ้นอยู่เขียวขจีหรือไม่ก็มีหิมะปกคลุมในหน้าหนาวขาวโพลนไปทั่ว แต่เมื่อใดเกิดการระเบิด เมื่อนั้นจึงจะรู้ได้โดยประจักษ์ชัดว่าเป็นภูเขาไฟ ความร้อนและลาวาที่ถูกพ่นออกมา นอกจากจะทำให้ภูเขาต้องระเบิดทำลายตัวเองแล้ว ยังเผาไหม้หลอมละลายสร้างความเสียหายให้แก่ต้นไม้ สัตว์ป่า สิ่งมีชีวิต รวมถึงมนุษย์ที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียง ก็ประสบภัย ทำให้เดือดร้อนไปตามๆ กันอีกด้วย
                ผู้คนที่เราพบเห็นอยู่ในสังคมก็เช่นกัน ดูจากภายนอกหรือสัมผัสเพียงผิวเผินก็เห็นเป็นบุคคลปกติธรรมดาไม่ต่างจากใครอื่น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภายในร่างกายของคนที่มีความละม้ายคล้ายกันในทางรูปธรรมนั้น ย่อมมีสิ่งหนึ่งที่ต่างกันมาก และไม่สามารถสังเกตจากรูปร่างภายนอกได้ สิ่งนั้นคือจิตใจ คนบางคนมีรูปร่างหน้าตาบุคลิกดีมีฐานะดี แต่งตัวดี ตำแหน่งหน้าที่การงานดี มียศมีศักดิ์ในสังคม ดูแล้วชีวิตน่าจะสมบูรณ์พูนสุข แต่ในความเป็นจริงยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ดูปกติดีแต่ภายนอก ส่วนภายในจิตใจเร่าร้อนระอุคุกรุ่น ไม่ต่างจากภูเขาไฟพร้อมที่จะระเบิดอยู่ตลอดเวลา อันเนื่องมาจากไฟคือกิเลส ได้แก่ความละโลภมาก ความโกรธแค้นอาฆาตพยาบาท และความลุ่มหลงมัวเมาในสิ่งที่ผิด ตลอดจนการปล่อยตัวปล่อยใจให้จมอยู่กับสิ่งที่พระท่านเรียกว่า อนิฏฐารมณ์ กล่าวคือเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา และความทุกข์ร้อนต่างๆ สภาพเหล่านี้เป็นเสมือนไฟสุมอก เร่าร้อนรุนแรงกว่าความร้อนของภูเขาไฟหลายเท่านัก
                ใครที่ตกอยู่ในลักษณะเย็นนอกร้อนในเช่นนี้ พึงทราบว่า ท่านกำลังมีสภาพไม่ผิดอะไรกับภูเขาไฟ ลูกหนึ่งถ้าควบคุมไม่ได้ ก็อาจจะระเบิดออกมาได้ทุกขณะ จึงควรรีบแก้ไขดับร้อนนั้นเสียโดยเร็ว คือให้ดับไฟโลภด้วยการให้ ดับไฟโกรธด้วยการแผ่เมตตา ดับไฟหลงด้วยปัญญา และดับความหมองไหม้กระวนกระวายด้วยสมาธิโดยสรุปก็คือ ใช้เย็นดับร้อน ใช้ธรรมดับทุกข์ เหมือนใช้น้ำดับไฟ ก่อนที่จะระเบิดพินาศย่อยยับ เหมือนการระเบิดของภูเขาไฟฉันนั้น

..................................

บารมีสิบ


                ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า ในกระแสแห่งความนึกคิดของคนเราโดยทั่วไปจะมีการต่อสู้กันระหว่างความดีกับความไม่ดี หรือระหว่างธรรมกับอธรรม บางครั้งฝ่ายธรรมชนะ บางครั้งฝ่ายอธรรมก็ชนะ สลับกัน แต่สำหรับปุถุชนแล้วส่วนมากอธรรมมักเป็นฝ่ายชนะ เพื่อจะให้ฝ่ายธรรมได้ชนะมากขึ้นหรือชนะมากกว่าแพ้ ทางพระพุทธศาสนามีหลักธรรมหมวดหนึ่งเรียกว่า บารมีหรือบารมีธรรม คือคุณความดีที่ควรบำเพ็ญเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ดีงาม บารมีนี้เป็นคู่ปรับอธรรม ท่านจัดเป็นคู่ๆ ไว้ ๑๐ คู่ คือ
                ๑.ทานบารมี การเสียสละ การบริจาค คู่ปรับของความตระหนี่
                ๒.ศีลบารมี การมีศีล คู่ปรับของการไม่มีศีล
                ๓.เนกขัมมบารมี ความสงบระงับจากการถูกกามารมณ์เบียดเบียนแม้ชั่วขณะจิต คู่ปรับของความฟุ้งซ่านตามกระแสของกามารมณ์
                ๔.ปัญญาบารมี การรู้เห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นๆ คู่ปรับของอวิชชาคือความรู้เห็นที่ผิดพลาดจากความเป็นจริง
                ๕.วิริยบารมี ความพากเพียรพยายามในทางที่ถูกต้อง คู่ปรับของความเกียจคร้านในการงานที่ถูกต้อง
                ๖.ขันติบารมี ความอดทน อดกลั้น ต่อสิ่งที่ไม่พอใจ คู่ปรับของความโกรธ
                ๗.สัจจบารมี รักษาความจริง ความถูกต้อง ตามครรลองคลองธรรม คู่ปรับของคำพูดจามดเท็จ
                ๘.อธิษฐานบารมี การตั้งใจแน่วแน่ในหน้าที่การงานที่กระทำ คู่ปรับของความโลเล ความไม่ตั้งใจจริงในหน้าที่การงานที่กระทำ
                ๙.เมตตาบารมี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เอื้ออาทรต่อผู้อื่น คู่ปรับของความอาฆาตมาดร้ายต่อผู้อื่น
                ๑๐.อุเบกขาบารมี ความวางใจเป็นกลาง ไม่โอนเอียงไปเข้าข้างใดข้างหนึ่ง คู่ปรับของอคติ ความลำเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง
                คราวใดอธรรมเกิดขึ้นในใจ ต้องพยายามใช้บารมีข้อใดข้อหนึ่งเป็นคู่ปรับกันให้ทันกาลเวลา ถ้าปฏิบัติได้แล้ว จะมีชัยชนะทุกคราวที่บารมีเกิดขึ้น เมื่อฝึกบ่อยๆ ก็จะสามารถชนะอธรรมได้มากขึ้น ซึ่งก็คือประสบความสำเร็จได้มากขึ้นนั่นเอง

...................................

มหันตภัยยาเสพติด


                มหันตภัยที่คุกคามเยาชนและประชาชนชาวไทยอยู่ในขณะนี้ ไม่มีอะไรเกินยาเสพติดให้โทษ ซึ่งกำลังแพร่ระบาดอย่างหนักในทุกๆ วงสังคม ยาเสพติดให้โทษมีหลายประเภท เช่น เฮโรอีน ฝิ่น กัญชา ยาอี ฯลฯ แต่ที่ระบาดอย่างหนักในสังคมไทยคือ ยาบ้า ซึ่งเป็นปัญหาที่รัฐบาลกำลังพยายามหาวิธี แก้ไขให้ได้ผลโดยเร็วที่สุด ผู้ที่เสพยาบ้าจนติดจะเกิดอาการทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทางกาย ผู้ที่เสพยาบ้า ๒๐-๓๐ กรัมต่อวัน จะเบื่ออาหาร มือสั่น ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็วและแรง ไม่รู้สึกง่วง กลิ่นตัวแรง สูบบุหรี่จัด ฯลฯ ส่วนทางจิต จะมีอาการหวาดระแวง วิตกกังวล ประสาทหลอน มักเห็นภาพหลอนต่างๆ ขณะเกิดอาการอาจจะทำร้ายตัวเองและผู้อยู่ใกล้เคียง พิษภัยอันเกิดจากการใช้ ยาเสพติดนอกจากจะมีผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจของผู้เสพโดยตรงแล้ว ยังมีผลกระทบต่อสังคมและประเทศชาติ
                ผลกระทบต่อผู้เสพเอง ฤทธิ์ของยาเสพติดจะมีผลกระทบต่อระบบประสาทและระบบอวัยวะต่างๆ เช่น ผอม ซูบซีด ผิวคล้ำ ไม่มีแรง จิตไม่ปกติ สุขภาพจิตเสื่อม อารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้า วิตกกังวล ฯลฯ
                ต่อครอบครัว ผู้ติดยาเสพติดจะไม่มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ไม่ห่วงใย ดูแลครอบครัวอย่างที่เคยปฏิบัติ ทำให้ครอบครัวขาดความอบอุ่น นำไปสู่การทะเลาะวิวาท และครอบครัวแตกแยก
                ต่อสังคมเศรษฐกิจ ผู้เสพยาเสพติดและตกเป็นทาส ถือว่าเป็นผู้ที่บ่อนทำลายเศรษฐกิจและความสงบสุขของประเทศชาติ เพราะทำให้ประเทศชาติต้องสูญเสียทั้งกำลังคนและงบประมาณของ แผ่นดินจำนวนมหาศาลเพื่อปราบปรามและป้องกัน ตลอดจนบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด
                การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นหน้าที่ของทุกๆ คน และทุกๆ หน่วยงานที่จะต้อง แก้ไขโดยเริ่มจากเด็กและเยาวชนให้รู้จักการป้องกันตนเองจากยาเสพติด เพราะเด็กและเยาวชนนับว่าเป็นทรัพยากรอันมีค่าที่จะเป็นพลังสำคัญต่อสังคมและประเทศชาติต่อไปในอนาคต

...................................

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ค่านิยมแห่งชีวิต

ผู้อัจฉริยะ คือผู้สามารถที่วางตัวเองถูกที่

ส่วนผู้โง่เง่าในสายตาเรา
อาจจะเป็นผู้มีความสามารถที่ บังเอิญวางตัวเองผิดที่นั่นเอง

ตัวอย่างเช่น
คุณกับคนป่าผู้หนึ่ง ขณะหลงทางในป่าอัฟริกา ขาดแคลนทั้งน้ำและอาหาร

ในภาวะเช่นนั้น คุณต้องถือว่าคนป่าผู้นี้เป็นอัจฉริยะ เพราะเขารู้วิธีเอาตัวรอดในป่า

ในทางกลับกัน หากคุณพาคนป่าเข้าเมือง สั่งให้เขาใช้คอมพิวเตอร์
สถานการณ์จะกลับหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะเขากลายเป็น idiot ไปแล้ว

คนเราเกิดมาย่อมใช้ได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

นักวิทยาศาสตร์บางคน แยกบันไดเสียงไม่ออก จิตรกรบางคนเขียนจดหมายไม่เป็น
แต่คนเหล่านี้วางตัวเองถูกที่ จึงประสบความสำเร็จใหญ่หลวง

Picasso เดิมทีอยากจะเป็นกวี แต่บทกวีของเขาถูก
Gertrude Stein กวีหญิงวิจารณ์จนไม่มีชิ้นดี
แต่เพราะมีสุภาพสตรีคนหนึ่งมาสะกิดเตือน เขาจึงวางตัวเองในจุดใหม่
จนกลายเป็นจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่

อันที่จริง  ผู้คนและเรื่องราวต่างๆ ล้วนน่าชื่นชมทั้งนั้น ถ้าอยู่ในกาลเทศะที่เหมาะสม

เช่น ซุปรสเด็ดเมื่อหยดลงบนเสื้อเชิ้ต กลับกลายเป็นจุดด่างพร้อย

คำหวานลับเฉพาะบนเตียง เมื่อเล็ดลอดไปสู่สาธารณชน กลับกลายเป็นคำหยาบโลน
แปลกดีไหม

อาหารที่อมอยู่ในปาก ถ้าบ้วนออกมาดูน่าขยะแขยง
ถ้ากลืนเข้าไป กลับมีคุณค่าทางโภชนาการ

ต่อให้เป็นขยะสกปรกสิ้นดี
ถ้าวางถูกที่ เช่นฝังกลบดิน
ก็จะกลายเป็นปุ๋ยหล่อเลี้ยงดอกไม้งาม
และผลิตอาหารสุขภาพให้เรา

อาจกล่าวได้ว่า ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใด คนใด ต่ำต้อยหรือไร้ประโยชน์
ทุกคน ทุกสิ่ง ถ้าวางอยู่ในที่ถูก ย่อมอำนวยประโยชน์ได้ทั้งนั้น

จุดหมายสูงสุดของชีวิต
คือ สรรหาเวทีที่เหมาะสม
บุกเบิกเส้นทางของตน แล้วแสดงความสามารถเฉพาะตัว ให้สุดเหวี่ยง

ขอขอบคุณ ผู้เขียน (ไม่ทราบว่าเป็นใคร)

มีไว้ใช้ กับมีไว้รัก

Used vs. Loved
ถูกใช้(ใช้งาน) / เป็นที่รัก(ถูกรัก)
~~~~

While a man was polishing his new car,
ขณะที่... ชายคนหนึ่ง กำลังขัดรถใหม่-ของเขา

his 6 yr old son picked up a stone and
scratched lines on the side of the car.
ลูกชายวัย 6 ขวบ ได้เอาก้อนหินมาขีดเส้น
ข้างรถของเขา ...

In anger, the man took the child's hand
and hit it many times;
ด้วยความโกรธ .. เขาจับ-มือลูกชายมา
ตีอย่างแรง-ไปหลายที ...

not realizing he was using a wrench.
โดย ไม่ได้ตระหนัก..ว่า สิ่งที่เขาใช้ตี-คือ .ประแจ-ขันน็อต

At the hospital, the child lost all his
fingers due to multiple fractures.
ที่ รพ. ลูกชายของเขา-ต้องสูญเสียนิ้วมือ
ทั้งหมด เพราะ .. กระดูกแตก-ละเอียด .

When the child saw his father.
เมื่อเด็กชายเจอ พ่อ

with painful eyes he asked,
เขาถาม-พ่อด้วยสายตา ..อันเจ็บปวด

'Dad when will my fingers grow back?'
พ่อครับ! นิ้วผมจะงอกมาเหมือนเดิม .
เมื่อไหร่ ครับ

The man was so hurt and speechless;
ชายคนนั้น . เจ็บปวดมาก และ พูดไม่ออก

he went back to his car and kicked it a lot of times.
เขากลับไป เตะรถคันนั้น-หลายครั้ง .

Devastated by his own actions.
เขาได้ ทำลายมัน  ด้วยตัว-เขาเอง

sitting in front of that car he looked at the scratches;
เขานั่ง หน้ารถ แล้ว มองที่รอย ขีดข่วน

the child had written 'LOVE YOU DAD'.
ลูกชายเขา ... เขียนคำว่า ... " ผมรักพ่อ "

The next day that man committed suicide
วันรุ่งขึ้น เขา ..ก็ฆ่า-ตัวตาย

Anger and Love have no limits;
ความโกรธ และ ความรัก ไม่มีขีด-จำกัด

choose the latter to have a beautiful, lovely life.
จงเลือกสิ่งหลัง . เพื่อการอยู่อย่างงดงาม ...
และ อบ-อวลด้วย ... ความรัก ...

Things are to be used and people are to be loved.
สิ่งของ-ทั้งหลาย ... มีไว้เพื่อให้ใช้...
คน มีไว้เพื่อ ... ให้รัก ...

But the problem in today's world is that,
แต่ ... ปัญหาของโลก ... ในปัจุบัน ... คือ ...

People are used and things are loved.....
คนมีไว้-เพื่อถูกใช้งาน แต่ สิ่งของกลับเป็นที่รัก

In this year, let's be careful to keep this
thought in mind:
จากนี้-ไป ... ขอให้ พวกเรา ... ตั้งใจจดจำไว้ว่า

Things are to be used, but People are
to be loved.
สิ่งของทั้งหลาย .มีไว้เพื่อถูกใช้งาน .
และ คนมีไว้ .เพื่อเป็น-ที่รัก .

Watch your thoughts;
จงเฝ้าดู .ความคิดคุณ .

they become words.
เพราะ  มันจะกลาย-เป็นคำพูด .

Watch your words;
จงเฝ้า ระวังคำพูด .

they become actions.
เพราะ . มันจะกลาย ..เป็นการกระทำ ...

Watch your actions;
จงเฝ้าดู ... การกระทำ ...

they become habits.
เพราะ ... มันจะ-เป็นนิสัย ...

Watch your habits,
จงเฝ้าระวัง ... นิสัยคุณ ...

 they become character;
เพราะ ... มันจะเป็น ... บุคคลิก ...

Watch your character;
จงเฝ้าดู ... บุคคลิก ...

it becomes your destiny.
เพราะ ... มันจะบอก...ความเป็นตัวตน-ของคุณ

I'm glad a friend forwarded this to me as a reminder.
ฉันดีใจ ... ที่ เพื่อนส่งบทความนี้-มาช่วยเตือน

If you don't pass this on nothing bad will happen;
ถ้า-คุณไม่ส่งมันต่อ ... ก็ไม่ผิดอะไร ...

if you do, you might change someones life.
แต่ ... ถ้าส่งต่อ ... คุณอาจเปลี่ยนชีวิต ...
ใคร-บางคนได้ ...

I'm not a magician. She was not an
angel. Equal human
ฉัน-ไม่ใช่ผู้วิเศษ ... เธอก็-ไม่ใช่ ... เทวดา.
ก็มนุษย์-เท่ากัน

แด่...ลูก

"อ่านช้าช้า พิจราณาให้เข้าใจ เผื่อว่าชีวิตอาจจะหลงลืม อะไรไปบ้าง"...


วัยพ่อแม่นี้  ขี้ใจน้อย  เป็นยิ่งนัก
เมื่อลูกทัก  ว่าทำผิด  มันติดหู
นึกทีไร  น้ำตาล้น  จนร่วงพรู
จงเอ็นดู  เถิดหนา  อย่าบ่นเลย

เข่าก็อ่อน  แรงก็ล้า  ตามัวซ้ำ
ลูกช่วยค้ำ  พยุงบ้าง  อย่านั่งเฉย
ตอนลูกเล็ก  ปีนขี่คอ  พ่อยังเคย
อย่าละเลย ให้ชอกช้ำ  ระกำใจ

ลูกพูดไป  ฟังไม่ทัน  อย่าหันหนี
พูดอีกที  เถิดลูกรัก  อย่าผลักไส
หูมันแก่  ฟังลูกเล่า  ไม่เข้าใจ
จับความได้  กะพร่องกะแพร่ง  ชี้แจงที

ตอนลูกเล็ก  พูดซ้ำมา  ดูน่ารัก
ตอนนี้พ่อแม่  แก่นัก  ชักลืมถี่
พูดซ้ำซาก  มากมาย  ตั้งหลายที
ขอคนดี อย่าถือโทษ โกรธมากเกิน

ลูกงานหนัก  พ่อแม่ก็รู้  อยู่ว่าหนัก
ขอลูกรัก  พักคุยบ้าง  อย่าห่างเหิน
อยู่กับลูก  กับเมีย  เสียจนเพลิน
ขอแค่เดิน  มาถามไถ่  ในบางที

เรื่องสำลัก  ข้าวปลา  อาหารน้ำ
เกิดซากซ้ำ  จนระอา  น่าหน่ายหนี
ขอให้ลูก  จงอดทน  เถิดคนดี
แก่แล้วมี  ปัญหา  มาทุกคน

อีกไม่นาน  หรอกหนา  เวลาผ่าน
ความรำคาญ  ทั้งหลายแหล่  แม้สับสน
คงไม่กลับ  มาเกิดซ้ำ  ทำเวียนวน
เมื่อผ่านพ้น  พ่อแม่ลับ  ดับชีวิต

ขอให้ลูก ได้อยู่

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

แม่

ลูกจ๋า อย่าส่งแม่ไปบ้านพักคนชราเลย! (อ่านให้ได้นะ)

ลูกสะใภ้พูดว่า “ทำจืด แม่ก็ว่าไม่มีรสชาติ ตอนนี้ทำเค็มนิดหนึ่ง แม่ก็ว่า กินไม่ได้ แล้วจะเอายังไง!”

เมื่อแม่เห็นลูกชายกลับมา ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่กลืนข้าวเข้าปาก ลูกสะใภ้มองตามด้วยความโกรธ

เมื่อลูกชายลองชิมอาหารที่แม่กำลังกิน ก็พูดกับภรรยาว่า
“ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าโรคของแม่กินเค็มมากไม่ได้?”

“เอาละ! ในเมื่อเป็นแม่ของคุณ วันหลังคุณก็ทำเองก็แล้วกัน” ลูกสะใภ้กล่าวด้วยความโมโห แล้วก็สะบัดหน้าเดินเข้าห้องไป

ลูกชายเรียกตามด้วยความจนใจ จากนั้นก็หันมาพูดกับแม่ว่า
“แม่ครับ ไม่ต้องกินหรอก เดี๋ยวผมต้มบะหมี่ให้แม่กินนะครับ”

“ลูกมีอะไรจะพูดกับแม่ไหม? ถ้ามีก็บอกแม่เถอะ อย่าเก็บไว้เลย”แม่เห็นอาการกังวลของลูกชาย

“แม่ครับ เดือนหน้าผมได้เลื่อนตำแหน่ง เกรงว่าจะต้องมีงานที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น เมียผมก็อยากออกไปทำงาน คือว่า....”
แม่รู้ทันทีว่าลูกชายจะพูดอะไรต่อ....

“อย่าส่งแม่ไปอยู่บ้านพักคนชรานะลูก....” แม่พูดออกมาอย่างอ้อนวอน

ลูกชายนิ่งคิดไปนาน แต่ก็พยายามหาทางออกที่ดีกว่านี้

“แม่ครับ อยู่บ้านพักคนชราก็ดีนะแม่จะได้ไม่เหงา ที่นั่นมีคนดูแล ดีกว่าอยู่ที่บ้านนะครับ หากเมียผมไปทำงาน เธอจะไม่มีเวลาดูแลแม่เลยนะครับ”

หลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จ ก็ออกมาทานบะหมี่ จากนั้นก็เข้าไปที่ห้องหนังสือ เขายืนนิ่งอยู่ที่หน้าต่าง ในใจเกิดความสับสนขัดแย้ง ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี!

แม่ของเขาเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว กล้ำกลืนทนทุกข์เลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่ อีกทั้งส่งเสียให้เรียนยังต่างประเทศ แต่แม่ไม่ได้อ้างสิ่งที่ทำไปเป็นเบี้ยต่อรองให้เขาต้องเลี้ยงดู
 กลับกันภรรยาผู้มาทีหลังกลับเรียกร้องให้เขาต้องรับผิดชอบ นี่เขาต้องส่งแม่ไปอยู่บ้านพักคนชราจริงหรือ?

“คนที่จะอยู่กับแกในช่วงบั้นปลายชีวิตคือเมียนะโว้ย ไม่ใช่แม่!” เพื่อนๆมักจะเตือนเขาอย่างนี้

“แม่ของเธอแก่แล้วนะ หากโชคดีก็อยู่กับแกได้อีกหลายปี ทำไมไม่อาศัยเวลาที่เหลือของแม่แล้วก็กตัญญูปรนนิบัติท่านละ อย่ารอให้แกอยากกตัญญูแต่แม่ไม่อยู่แล้ว แล้วแกจะเสียใจ!” ญาติๆมักจะเตือนเขาว่าอย่างนี้

 เขาไม่กล้าคิดอะไรต่อ กลัวว่าตนเองจะเปลี่ยนแปลงความตั้งใจ

เย็นแล้ว พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เขานั่งเงียบๆคนเดียวด้วยจิตใจที่หดหู่

ณ บ้านพักคนชราที่แสนจะหรูหรานอกชานเมือง เขาใช้เงินจำนวนมากเพื่อทดแทนความรู้สึกผิดต่อแม่ของเขา อย่างน้อยที่นี่ก็สะดวกสบาย

เมื่อเขาพยุงแม่เข้าสู่ตัวอาคาร ทีวีจอยักษ์กำลังฉายภาพยนตร์ตลกอยู่ แต่ไม่มีเสียงหัวเราะจากผู้ชมแม้แต่คนเดียว คนชราจำนวนหนึ่งที่สวมใส่เสื้อผ้าเหมือนกัน นั่งอยู่บนโซฟานั่งมองประตูทางเข้าด้วยสายตาอันเหม่อลอย หญิงชราคนหนึ่ง กำลังก้มตัวลงไปเก็บขนมที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาใส่ปาก

เขารู้ว่าแม่ชอบห้องที่สว่างโล่ง จึงเลือกห้องที่แสงพระอาทิตย์สามารถสาดส่องเข้ามาได้ เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบไม้กำลังร่วงลงสู่พื้นหญ้าเป็นจำนวนมาก นางพยาบาลหลายคนกำลังเข็นรถเข็นที่มีคนชรานั่งอยู่ออกไปชมพระอาทิตย์ตกดิน รอบตัวเงียบสงัด ทำให้เขาสะท้านวาบในจิตใจ

แม้แสงพระอาทิตย์ยามลับขอบฟ้าจะงดงามสักเพียงใด นั่นก็หมายความว่าความมืดยามค่ำคืนกำลังจะย่างกรายเข้ามาแทนที่ เขาถอนหายใจเบาๆ

“แม่ครับ ผม....ต้องไปแล้วนะ” ผู้เป็นแม่ทำได้เพียงแค่พยักหน้า

ตอนที่เขาเดินจากมา แม่ยังคงโบกมือลาด้วยสีหน้าอันเศร้าสร้อย อ้าปากพูดโดยไม่มีเสียงอยู่ตลอดเวลา เมื่อเขาหันมามอง จึงเห็นผมสีดอกเลาของแม่ เขานึกในใจ “แม่แก่แล้วจริงๆ”

อยู่ๆ ภาพในครั้งอดีตก็ผุดขึ้นในห้วงแห่งความคิด ปีนั้นเขาอายุได้เพียงแค่6ขวบ แม่มีธุระต้องไปต่างจังหวัด จึงต้องพาเขาไปฝากไว้ที่บ้านคุณลุง ตอนที่แม่จะออกจากบ้านไป เขารู้สึกกลัวมาก เอาแต่กอดขาแม่ไม่ยอมให้แม่ไป
“แม่จ๋าอย่าทิ้งหนูไป แม่จ๋าอย่าทิ้งหนูนะ!” สุดท้าย แม่ก็ไม่กล้าทิ้งเขาไปต่างจังหวัด
เขารีบก้าวเท้าเดินออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เมื่อปิดประตูแล้วก็ไม่กล้าหันไปมองแม่อีก

เมื่อกลับถึงบ้าน เขาเห็นภรรยาและแม่ยาย กำลังเก็บเอาข้าวของของแม่โยนออกมานอกห้อง
ถ้วยรางวัลรูปคนยืนสูงประมาณ3ฟุตที่เขาชนะเลิศประกวดเรียงความ “แม่ของฉัน”
พจนานุกรมอังกฤษจีนที่แม่ซื้อให้เขาในวันเกิด ซึ่งเป็นของขวัญชิ้นแรกที่เขาได้รับจากแม่
ยังมียาหม่องน้ำที่แม่ต้องทาขาก่อนนอนทุกวันฯ

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! พวกคุณโยนของๆแม่ผมออกมาทำไม?” เขาถามออกไปด้วยความโมโหสุดขีด

“ขยะทั้งนั้น ถ้าไม่ทิ้ง แล้วฉันจะเอาของๆฉันวางไว้ตรงไหน?” แม่ยายพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“ใช่แล้ว คุณรีบเอาเตียงเน่าๆของแม่คุณไปทิ้งได้แล้ว พรุ่งนี้ฉันจะซื้อเตียงใหม่ให้แม่ฉัน!”

รูปเก่าๆสมัยเขายังเด็กกองอยู่กับพื้น มันเป็นรูปที่แม่พาเขาไปเที่ยวสวนสัตว์และสวนสนุก

“นั่นมันเป็นสมบัติของแม่ผม ใครก็เอาไปทิ้งไม่ได้!”

“มันจะมากเกินไปแล้วนะ มาทำเสียงดังกับแม่ฉันได้ยังไง ขอโทษแม่ฉันเดี๋ยวนี้!”

“ผมเลือกคุณก็ต้องรักแม่คุณด้วย แต่คุณแต่งงานเข้ามาอยู่บ้านผม ทำไมคุณรักแม่ผมไม่ได้?”

ท้องฟ้าอันมืดมิดหลังฝนตก หนาวสะท้านเข้าไปถึงหัวใจ ท้องถนนที่ว่างเปล่าไร้รถรา บีเอ็มดับบลิวคันหนึ่งพุ่งไปข้างหน้าราวกับอยู่ในสนามแข่ง พร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ของชายคนหนึ่งซึ่งมุ่งไปทางบ้านพักคนชรานอกเมือง

จอดรถเสร็จ เขารีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องพักของแม่ เมื่อเปิดประตูเข้าไป เขายืนมองแม่ด้วยความรู้สึกที่ไม่น่าให้อภัยตัวเอง แม่ของเขาก้มหน้าใช้มือนวดที่ขาของตัวเอง
เมื่อแม่ของเขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ประตู ก็เห็นลูกชายของตัวเองยืนอยู่ และในมือถือยาหม่องน้ำอยู่ และก็พูดออกมาด้วยเสียงอ่อนโยนว่า
“แม่ลืมเอามาด้วย ดีนะที่ลูกเอามาให้...”

เขาเดินไปหาแม่และคุกเข่าลงไป

“ดึกแล้วลูก แม่ทาเองได้ พรุ่งนี้ลูกต้องไปทำงานแต่เช้า กลับไปเถอะ!”

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้
“แม่ครับ ผมขอโทษ แม่ยกโทษให้ผมนะ กลับบ้านเราเถอะ!”

#########################

ลูกรัก ตอนที่เจ้ายังเด็ก แม่ใช้เวลาทั้งหมด ค่อยๆสอนให้เจ้าใช้ช้อนใช้ตะเกียบคีบอาหาร สอนเจ้าใส่รองเท้า สอนเข้ากลัดกระดุม สอนเจ้าใส่เสื้อผ้า อาบน้ำให้เจ้า เช็ดอุจาระปัสาวะให้เจ้า

 สิ่งเหล่านี้แม่ไม่เคยลืม
หากวันหนึ่ง แม่จำไม่ได้ หรือเริ่มพูดช้าลง ขอเวลาให้แม่สักหน่อย รอแม่ได้ไหม ให้แม่ได้คิด...บางครั้ง สิ่งที่แม่อยากจะพูดกับเจ้า แม่อาจจะพูดกับเจ้าไม่ได้อีกแล้ว

ลูกรัก ลูกจำได้ไหม แม่ต้องสอนเจ้ากี่ร้อยครั้งให้เจ้าพูดว่าคำว่าแม่ได้!
แม่ดีใจมากแค่ไหนที่เจ้าเริ่มพูดเป็นประโยคได้?
แม่ต้องตอบคำถามของเจ้ากี่ร้อยครั้ง กว่าเจ้าจะเข้าใจในสิ่งที่เจ้าสงสัย!

ดังนั้น หากวันหนึ่ง แม่ถามเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีกกับเรื่องเดิมๆ ขอให้เจ้าอย่ารำคาญจะได้ไหม?
ตอนนี้แม่อาจกลัดกระดุมเสื้อไม่ได้ ยามกินข้าวอาจหกเลอะเสื้อผ้า เจ้าอย่าเอ็ดแม่ได้ไหม? ขอให้เจ้าอดทนและอ่อนโยนกับแม่ ขอเพียงเจ้าอยู่ข้างๆแม่ แม่ก็รู้สึกอุ่นใจ

ลูกรัก วันนี้ขาของแม่เริ่มอ่อนแรง ยืนได้ไม่ค่อยนาน เดินเหินลำบาก ขอให้ลูกจับมือและพยุงแม่ไว้ เดินเป็นเพื่อนแม่จนวันที่แม่สิ้นใจ เหมือนวันที่เจ้าคลอดมา แม่ก็พยุงเจ้าเดินอย่างนี้เหมือนกัน !
     จำเขามาเล่า ขอบคุณเจ้าของบทความดีๆ ท่านอ่านแล้ว ท่านจะเก็บไว้คนเดียว หรือส่งต่อครับ
           

วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2557

บทเรียนชีวิต


                ในโลกนี้มีหลายอย่างที่มนุษย์จะต้องเรียนรู้ เพื่อเป็นข้อมูลที่จะนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตว่าอะไรควรหลีกเว้น อะไรควรกระทำ ตลอดจนจะใช้วิธีแก้ปัญหาอย่างไรจึงจะได้ผลที่พึงประสงค์ เพราะผู้ที่เรียนรู้มากทั้งด้านวิชาการและมีประสบการณ์ จัดว่าเป็นพหูสูต คือผู้คงแก่เรียน ย่อมมีความฉลาดที่จะดำรงตนอยู่ในโลกนี้อย่างมีคุณค่าและสร้างสรรค์
                สิ่งที่คนเราเรียนรู้แต่ละอย่าง เช่น กฎกติกาที่ตั้งใจ ค่านิยมของสังคม พฤติกรรมของคน ตลอดทั้งผลงานของคนที่ล้มเหลว หรือประสบผลสำเร็จ รวมทั้งการกระทำและประสบการณ์ของตนเองที่ผ่านมา ล้วนแต่เป็นบทเรียนของชีวิตได้ทั้งนั้น คนที่รู้หลักการว่าสิ่งที่จะทำนั้นถูกต้องหรือไม่ ย่อมมีความมั่นใจมากกว่าคนที่ไม่รู้เลย ด้วยเหตุนี้ในทางพระพุทธศาสนาจึงสอนให้ใคร่ครวญโดยรอบคอบก่อน แล้วจึงลงมือทำ ซึ่งหมายถึง ให้การศึกษาเรียนรู้ก่อนว่า เมื่อทำ พูด คิดสิ่งนั้นแล้ว จะมีผลดีหรือเสียอย่างไร มิใช่ทำลงไปแล้วจึงมาคิดภายหลัง เพราะอาจจะเกิดความเสียหายขึ้นได้ หากบุคคลสามารถปฏิบัติได้เช่นนี้ ผลงานที่ปรากฏออกมาย่อมเป็นไปในทางที่ดี สร้างความชื่นใจแก่ผู้ทำและนำความสงบสุขสู่สังคม
                แต่บางครั้ง คนเราทั้งที่รู้ว่าสิ่งนั้นไม่ดี ก็ยังฝืนทำ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะกำลังใจยังไม่เข้มแข็งพอ อีกทั้งสติยังไม่มั่นคง จึงจำเป็นต้องฝึกสติให้มั่นคงและรู้เท่าทัน เพื่อจะได้ควบคุมจิตใจไว้ในแนวทางที่ถูกต้อง สามารถเอาชนะแรงดึงดูดจากสิ่งยั่วยวนต่างๆ ได้ เพราะมนุษย์ที่ฝึกฝนตนดีแล้วเท่านั้นเป็นผู้ประเสริฐ มนุษย์ที่ไม่ฝึกตนให้ดี ไม่ประเสริฐเลย
                ดังนั้น การดำรงชีวิตอยู่ในสังคมจึงต้องเรียนรู้หลายๆ ด้าน เพื่อจะได้นำมาเป็นข้อมูลประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตของตนให้เป็นไปในทางสร้างสรรค์ เพราะความรู้ที่ถูกต้องและชัดเจนย่อมส่งผลให้เกิดความมั่นใจในการดำเนินชีวิตนั่นเอง

.............................................

ทาสอารมณ์


                คำว่า “ทาส” หมายถึง ผู้ที่ยอมตนให้อยู่ในอำนาจของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คำว่า อารมณ์ หมายถึง ความคิดหรือ เครื่องยึดเหนี่ยว เมื่อเอา ๒ คำมารวมกันเป็น ทาสอารมณ์ จึงหมายถึง ผู้รับใช้ความคิดที่ไร้สาระก็จะเกิดโทษ มีเรื่องเล่าว่า
                สามเณรรูปหนึ่ง บวชเรียนอยู่ในสำนักของหลวงลุง ได้ผ้ามา ๒ ผืน มีความประสงค์จะเอาไว้ใช้ผืนหนึ่ง ส่วนอีกผืนจะถวายหลวงลุง วันหนึ่ง ขณะยืนพัดปรนนิบัติหลวงลุง จึงเรียนความประสงค์ให้ท่านทราบ หลวงลุงไม่ต้องการจะรับผ้านั้น จึงปฏิเสธ สามเณรเกิดความน้อยใจ คิดเตลิดไปไกลว่า ต่อแต่นี้ไป หลวงลุงไม่ใยดีเรา แล้วเราจะบวชอยู่ต่อไปทำไม สึกแล้วขายผ้า ๒ ผืนนี้ ได้เงินมานำไปซื้อแม่แพะมาเลี้ยง พอมันตกลูกมาได้หลายตัว เราก็จะขายลูกแพะรวบรวมเงินได้ก้อนหนึ่งเอามาแต่งภรรยา เมื่อมีบุตร เราจะพาบุตรและภรรยามาเยี่ยมหลวงลุง ขณะเดินทางเราเป็นขับเกวียน ภรรยาอุ้มบุตรโดยไม่ระวังให้ดี ทำบุตรพลัดตกจนถูกล้อเกวียนทับตาย เราก็จะใช้ด้ามปฏักตีภรรยาพอคิดมาถึงตรงนี้ สามเณรก็ใช้ด้ามพัดที่ตนกำลังพัดให้หลวงลุงอยู่นั่นเองตีศีรษะของหลวงลุง โดยสำคัญผิดคิดไปว่าตนกำลังตีภรรยาของตน
                จากเรื่องดังกล่าว มีคติสอนใจว่า คนเรามีความคิดได้ทั้งในทางที่ดีและไม่ดี คือเป็นทาสอารมณ์ด้วยกันทั้งนั้น สิ่งสำคัญอยู่ที่การรู้จักใช้สติเป็นเครื่องควบคุม ช่วยหยุดยั้งเมื่อเกิดความคิดที่ไม่ดี และช่วยประคับประครองความคิดที่ดีให้อยู่ในแนวทางที่เหมาะสม ทำได้ดังนี้ ชีวิตนี้ก็จะประสบกับความก้าวหน้า ดังพุทธศาสนสุภาษิตว่า สะติมะโต สะทา ภัททัง แปลว่า คนมีสติ มีความเจริญทุกเมื่อ

.............................................

อย่าทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก

อย่าทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก
                 มนุษย์มักสร้างค่านิยมขึ้นมาว่า “สิ่งใดก็ตามที่ยุ่งยากซับซ้อน สิ่งนั้นย่อมมีค่า เป็นของสูง เป็นของดี สิ่งที่ง่ายๆ เป็นเรื่องธรรมดา เป็นของที่ไม่มีค่า” เพราะมีค่านิยมอย่างนี้ เราจึงมักจะเห็นคนบางกลุ่มนิยมทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยาก ทำเรื่องธรรมดาสามัญ ให้เป็นเรื่องซับซ้อนผิดธรรมดา
                โดยเฉพาะ เรื่องหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาด้วยแล้ว มักเห็นเป็นเรื่องยาก เพราะไปติดอยู่กับศัพท์ภาษาลี บางทีก็คิดว่าเป็นเรื่องสูงเกินไป หรือเข้าใจผิดไปว่าเป็นเรื่องเหมาะสำหรับบางคน ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับทุกคน ธรรมะเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้และปฏิบัติได้ เพราะหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ก็คือ วิธีการดับทุกข์ เพื่อให้ชีวิตเกิดความสุขนั่นเอง เช่น
                - ถ้าอยากมีความสุขแบบชาวโลก ก็สอนให้ขยันหา รักษาดี มีกัลยาณมิตร เลี้ยงชีวิตเหมาะสม
                - ถ้าอยากมีความสุขท่ามกลางญาติสนิทมิตรสหาย และผู้คนในสังคมก็ให้ ทำดี พูดดี คิดดี  หรือ โอบอ้อมอารี วจีไพเราะ สงเคราะห์ปวงชน วางตนเหมาะสม
                - ถ้าอยากมีความสุขสูงขึ้น ก็ให้งดเว้นจากการทำ พูด คิดในทางเสื่อมเสียอย่างสิ้นเชิง เพราะพฤติกรรมเหล่านั้นจะนำความหายนะมาสู่ตนและครอบครัว
                - ถ้าอยากมีความสงบสุขผ่องใสตลอดกาล ก็ให้เจริญวิปัสสนาภาวนา คือหมั่นพินิจพิจารณาจนเข้าใจอย่างถ่องแท้ในความจริงชีวิตและสิ่งทั้งปวง คือ อนิจจัง-ความไม่เที่ยง ทุกขัง-ความทนอยู่ อนัตตา-ความไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของตน เป็นไปตามธรรมชาติที่ดำเนินตามเหตุปัจจัยของมันเอง เป็นต้น
                ดังนั้น ถ้ารู้จักมองให้ถูกมุม ธรรมะก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ที่ยากก็เพราะเราไปมองเรื่องง่ายให้กลายเป็นเรื่องยากไปเองโดยแท้

.............................................

มงคลคาถา


                ปัจจุบันคนไทยยังมีพื้นฐานความเชื่อเรื่องฤกษ์ยามอย่างเหนียวแน่น เช่น เวลาจะทำบุญขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน เปิดอาคารร้านค้า หรือแม้แต่จะบวชก็ต้องพึ่งพาฤกษ์ยามอยู่เสมอ เพราะมีความเชื่อว่า หากทำพิธีตรงกับฤกษ์หรือยามดี ก็จะเกิดมงคลแก่ชีวิตและกิจการนั้นๆ มีความก้าวหน้าและประสบความสำเร็จ การถือฤกษ์ยามน่าจะไม่มีปัญหาอะไร หากคิดว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีให้กับชีวิต แต่จะเป็นปัญหา ถ้าเอาความหวังไปฝากไว้กับฤกษ์ยามให้เป็นตัวกำหนดชีวิตแทนที่ตนเองจะเป็นผู้กำหนด
                พระพุทธศาสนาถือว่าชีวิตจะดีหรือไม่ดี จะเจริญขึ้นหรือเสื่อมลง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฤกษ์ยามหรือดวงดาวหากแต่ขึ้นอยู่กับการกระทำของแต่ละบุคคล ใครทำดีทำถูกต้องเวลาใด ความเป็นมงคลก็เกิดขึ้นกับคนนั้นเวลานั้น ในเรื่องนี้พระรัตนปัญญาเถระ นักปราชญ์ชาวล้านนาในอดีตได้สรุปคาถาไว้ ๔ คำ ในหนังสือชื่อ            วชิรสารัตถสังคหะ สำหรับทำชีวิตให้เป็นมงคล เรียกว่า คาถากาสลัก คือ จะ ภะ กะ สะ มาจากคำเต็มว่า
                - จะชะ ทุชชะนะสังสัคคัง               แปลว่า หลีกเลี่ยงจากการคบทรชนคนพาล
                -ภะชะ สาธุสะมาคะมัง                     แปลว่า ให้สมาคมคบหาคนดีหรือสังสรรค์บัณฑิต
                - กะระ ปุญญะมะโหรัตตัง               แปลว่า จงทำความดีทุกวันทุกคืนหรือทำดีเป็นนิตย์
                - สะระ นิจจะมะนิจจะตัง                 แปลว่าคิดถึงอนิจจังคือความเปลี่ยนแปลงไว้เสมอ
                ความเป็นมงคลของชีวิตนั้น จะเกิดขึ้นก็เพราะการรู้จักฉลาดทำและรู้จักเลือกใช้ชีวิตให้ดี ดังเช่นมงคลคาถา ๔ ข้อข้างต้น ถือว่าเป็นหลักการในการดำเนินชีวิตให้เป็นมงคลได้โดยไม่ต้องพึ่งพาฤกษ์ยาม และเป็นอันหวังได้อย่าง แน่นอนว่า ชีวิตจะมีแต่ความสุข ความเจริญก้าวหน้า
                มีหลักจำง่ายๆ และควรท่องจำให้ขึ้นใจว่า จะ หลีกเลี่ยงคนพาล ภะ สังสรรค์บัณฑิต กะ ทำดีเป็นนิตย์ สะ คิดถึงอนิจจัง และโปรดระลึกไว้ว่า
                                ควรสร้างความดีศรีชีวิต                     ทำ พูด คิดสิ่งใดใฝ่กุศล
                                นี้แหละคือทางตรงเป็นมงคล           ทั่วสากลดีหรือชั่วเพราะตัวทำ
.............................................

หยิบผิด


                มนุษย์โลกต้องมีโอกาสทำผิดพลาดกันทั้งนั้น จะต่างกันบ้างก็ตรงที่ผิดมากหรือผิดน้อยกว่ากันเท่านั้น กล่าวคือ คนที่ทำด้วยความรอบครอบ มีโอกาสผิดพลาดน้อย ส่วนคนที่ทำโดยขาดความรอบคอบมีโอกาสผิดพลาดมาก แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน หากขาดการพิจารณาใคร่ครวญที่เรียกว่า “ความรอบครอบ” แล้วก็อาจทำให้เกิดผลเสียหายขึ้นมาได้ ดังมีเรื่องเล่าว่า
                มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง วันหนึ่งภรรยาจะไปตลาดซึ่งอยู่ห่างจากบ้านไปประมาณ ๑๐ กม. สามีบอกให้ภรรยาเอาเหรียญหลวงพ่อปานบนหิ้งพระไปเลี่ยมกรอบที่ร้านที่คุ้นเคยกันในตลาดด้วย ภรรยาได้หยิบเหรียญบนหิ้งพระไปถึงร้านก็มอบเหรียญให้ช่าง แล้วก็ไปทำธุระที่อื่น เมื่อเสร็จแล้วก็กลับมารับเหรียญพร้อมจ่ายเงิน เมื่อมาถึงบ้านจึงเอาเหรียญที่เลี่ยมแล้วยื่นให้สามี สาดีดูแล้วก็ตกใจ เพราะเหรียญที่ภรรยายื่นให้ไม่ใช่เหรียญของหลวงพ่อปาน ทั้งสองจึงคิดว่าคงจะถูกช่างเปลี่ยนเอาพระไปแล้ว จึงชวนกันไปที่ร้านเลี่ยมพระอีกครั้ง เมื่อถึงก็ต่อว่าเจ้าของร้าน และช่างเป็นการใหญ่ แต่ทางร้านก็ยืนยันอย่างแข็งขันว่าเหรียญนี้เป็นเหรียญเดียวกับที่นำมาให้เลี่ยมจริงๆ สามีภรรยาจึงหมดหวังที่จะได้เหรียญหลวงพ่อปานกลับคืน เมื่อกลับถึงบ้าน สามีตรงไปที่หิ้งพระเพื่อเก็บเหรียญที่เลี่ยมมาและได้ตรวจดูบนหิ้งพระก็พบว่า เหรียญหลวงพ่อปานยังอยู่ที่เดิมนั่นเอง
                จากเรื่องที่ยกมาจะเห็นว่า เพราะความไม่รอบคอบ สามีภรรยาคู่นี้จึงต้องเสียเวลาเดินทาง ไป-กลับ ๒๐ กม. และเกือบจะเสียไมตรีกับร้านเลี่ยมกรอบ ที่ไปต่อว่ากล่าวหาเขาอย่างผิดๆ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ เสียอารมณ์ เสียความสงบสุขในครอบครัวอย่างไม่ควรจะเสียไประยะหนึ่ง ถ้าเป็นเรื่องของส่วนรวมหรือเรื่องระดับประเทศชาติ ความไม่รอบครอบก็จะยิ่งก่อผลเสียอย่างมหาศาล ดังนั้น จะทำสิ่งใดต้องไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน ดังหลักธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสเตือนใจไว้ว่า นิสัมมะ กะระณัง เสยโย แปลว่า การพิจารณาใคร่ครวญแล้วจึงทำ ประเสริฐกว่า.

.............................................

วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557

หลักธรรมสำหรับผู้นำ


                การปกครองโดยทั่วไป จำเป็นต้องมีผู้นำเสมอ เพราะว่าผู้นำเป็นสัญลักษณ์แห่งความอยู่รอดของผู้ตาม รับภาระหน้าที่นำคนในสังคมของตนให้รอดพ้นอุปสรรคและอันตรายทั้งปวง เพื่อให้บรรลุถึงซึ่งฝั่ง คือความเจริญรุ่งเรืองและความร่มเย็นเป็นสุข ในทางพระพุทธศาสนาได้กำหนดหลักธรรมของผู้นำไว้ ๖ ประการคือ
                ๑.ขะมา มีความอดทน อดกลั้นไม่หวั่นไหว ผู้นำต้องใช้ความอดทนโดยยึดหลักที่ว่า อด คืออดต่อการว่ากล่าวถากถาง และความลำบากตากตำ และทน คือทนด้วยความไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคใดๆ
                ๒.ชาคะริยะ มีความระมัดระวัง ผู้นำต้องปกป้องผองภัยให้แก่บริษัท บริวารของตน ต้องเป็นผู้มีสายตากว้างไกล มองรอบด้าน เห็นการณ์ไกล รู้เหตุเภทภัยที่จะเกิดหรือเกิดขึ้นแล้ว เพื่อหาทางป้องกันหรือกำจัดเสีย
                ๓.อุฏฐานะ มีความขยันหมั่นเพียร ผู้นำต้องขยันขันแข็ง ไม่กลัวความลำบาก มีจิตใจมั่นคงแน่วแน่ในการทำงาน ไม่ท้อถอย ยิ่งยากยิ่งอยากทำ ยิ่งลำบากยิ่งมุมานะ ยิ่งมีสิ่งยั่วยิ่งเข้มแข็งอดทน
                ๔.สังวิภาคะ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ผู้นำต้องเป็นคนมีน้ำใจ พร้อมที่จะให้ ไม่ใช่มุ่งแต่จะเอา
                ๕.ทะยะ มีความเอ็นดู ผู้นำต้องเป็นคนมีใจการุณ สร้างความอบอุ่นให้เกิดแก่ผู้ที่อยู่ในปกครองของตน
                ๖.อิกขะนา หมั่นตรวจตรา ผู้นำต้องพาตนเข้าไปใกล้ชิดกับงานที่รับผิดชอบ หากมีข้อเสียหาย ขาดตกบกพร่องจะได้รู้ทัน และสามารถหาทางแก้ไขได้ทันท่วงที
                ทั้งหมดคือความประเสริฐของผู้นำที่ยึดหลักธรรมดังกล่าวได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องแต่อย่างใด หรือมีคำกลอนดังว่า
                                                     ความมีใจไมตรีอารีเอื้อ                นั้นช่วยเหลือให้มีมิตรสหาย
                                                กิริยาพาทีไม่หยาบคาย                       คนทั้งหลายชอบชิด สนิทตน
                                                อีกมีใจเมตตาการุณยภาพ                  จะเอิบอาบไปทั่วทุกแห่งหน
                                                ถ้ามีความชอบธรรมจำนำตน            ไปสู่ผลความดีเป็นศรีเอย

..................................

ผู้นำ


                ผู้นำในทุกระดับ มักจะมีคนอยู่เบื้องหลัง หรือคนใกล้ชิดในตำแหน่งเลขานุการ หรือที่ปรึกษา งานของผู้นำโดยส่วนใหญ่จะเจริญก้าวหน้าหรือถอยหลัง บางครั้งขึ้นอยู่กับบุคคลใกล้ชิดเหล่านี้ เรื่องบางเรื่องที่ผู้นำไม่สามารถแก้ไขหรือตัดสินใจได้ บ่อยครั้งที่การแก้ไขหรือการตัดสินใจเกิดจากคำแนะนำและการตัดสินใจของบุคคลใกล้ชิดเหล่านี้ หากผู้นำมีคนใกล้ชิดที่มีความรู้ดี ความสามารถดี และมีคุณธรรม ก็ถือว่าโชคดี ถ้าได้คนใกล้ชิดที่มีลักษณะในทางตรงกันข้าม ผลงานก็ออกมาในทางไม่ดีและไม่สามารถไปตลอดรอดฝั่งได้ ดังนั้นผู้นำจึงควรมีกุศโลบายหรือหลักในการดำรงตน โดยขอแนะนำไว้ ๔ วิธี คือ
                ๑.ปากจู๋ คือพูดน้อย
                ๒.หูกว้าง คือฟังมาก
                ๓.ตาโต คือดูให้ถ้วนถี่
                ๔.โง่เป็น คือ รู้แต่เป็นทำไม่รู้เสียบ้าง
                นี่เป็นกุศโลบายที่สามารถทำให้ผู้นำมีความรู้ มีสติ มีปัญญา มีหูตากว้างไกล และสามารถแสวงหาบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมไว้เป็นคนใกล้ชิดได้ในระดับที่ต้องการได้ ดังนั้นความสามารถของผู้นำประการแรกสุดและสำคัญสุด จึงอยู่ที่การรู้จักเลือกคนและใช้คนให้เหมาะสมนั่นเอง โดยมีหลักพอแนะนำในการเลือกได้ดังนี้
                                คนดี คือคนที่ไม่นำไปสู่ส่วนเกิน
                                คนเก่ง คือคนที่ไม่เพลิดเพลินกับความเก่งของตนเอง และอบายมุข
                                คนกล้า คือคนที่ไม่ซุกตัวอยู่กับการกระทำที่ชั่วร้าย
                                คนมีค่ามีประโยชน์ คือคนที่รักและพร้อมให้อภัยแก่ทุกคน

..................................

ตาย


                ท่านที่ไปร่วมฟังสวดพระอภิธรรม คงเคยเห็นตาลปัตร ๔ ด้าม ที่พระสงฆ์ใช้ขณะสวด ปักเป็นข้อความด้ามละวรรคเรียงกันไปว่า “ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น” ทั้งหมดจะเกี่ยวกับความตายทั้งนั้น ความตายเป็นสิ่งที่ทุกชีวิตต้องประสบ หลบไม่ได้ เลี่ยงไม่พ้น แม้ว่าจะไม่มีใครปรารถนาแต่ก็ต้องพบ
                เมื่อเรารู้ว่าถึงอย่างไรก็ต้องตาย แล้วจะทำอย่างไร ท่านพุทธทาสภิกขุ เคยกล่าวสอนไว้ว่าการตาย เป็นหน้าที่ของสังขารอย่างไม่มีทางเปลี่ยนแปลง แก้ไข นอกจากต้อนรับให้ถูกวิธี มีคติอุทาหรณ์ที่ดีและการมีชีวิตอยู่อย่างมีประโยชน์แก่ทุกฝ่าย เป็นหน้าที่ของผู้ที่ยังไม่ตายและรู้หน้าที่ของตน...
                การคิดถึงความตายหรือการไปร่วมงานศพ อาจจะทำให้จิตใจเศร้าสลดหดหู่ แต่หากมองในแง่ของธรรมะ ก็มีสาระให้ความคำนึงได้ ดังนี้
                ๑.ได้เห็นความดี เห็นคุณค่าแห่งชีวิตปรากฏชัดขึ้น อันก่อให้เกิดความอาลัยรัก เสียดายเมื่อตายจาก
                ๒ได้ความสามัคคีปรองดอง เกิดความเห็นใจ เข้าใจ ไม่ทอดทิ้งหรือนิ่งดูดาย
                ๓.มองเห็นสัจธรรม ว่าทุกอย่างต่างมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และช่วยให้มีสติ ได้ความสำนึกที่ดี
                ๔.รีบทำที่พึ่งแก่ตน โดยยึดเอาคนตายเป็นเครื่องเตือนตนให้เร่งละชั่ว ทำดี ทำจิตให้บริสุทธิ์ ไม่ประมาทเมามัว คิดว่าตัวยังไม่ตาย ตรงตามพุทธภาษิตว่า “เพียรทำความดีเสียตั้งแต่วันนี้ เพราะไม่มีใครรู้ได้ว่าพรุ่งนี้จะตายหรือยังอยู่” คิดในแง่นี้ ความตายก็มีประโยชน์ คือเป็นตัวเร่งให้เราขยันทำความดี ทำหน้าที่ให้หมดจดเรียบร้อย  ดังนั้น เราท่านทั้งหลายจงรีบขวนขวายหาที่พึ่ง และเตือนตนไว้เสมอว่า
เกิดมาจงสร้าง แต่ความดี

..................................

มนุษย์-ภูเขาไฟ


                ภูเขาไฟ เมื่อสังเกตจากรูปลักษณ์ภายนอก ก็ดูเหมือนจะไม่แตกต่างจากภูเขาธรรมดาทั่วไป แต่ในความเป็นจริง ภูเขาไฟต่างจากภูเขาประเภทอื่นเป็นอย่างยิ่งตรงที่มีไฟ หรือลาวา ที่ร้อนแรงอยู่ภายใน ขณะที่ภูเขาอื่นไม่มี เมื่อใดที่ภูเขาไฟยังไม่ระเบิด หรือไม่มีอาการส่อว่าจะระเบิด ก็มองไม่ออก มีต้นไม้ นานาพันธุ์ขึ้นอยู่เขียวขจีหรือไม่ก็มีหิมะปกคลุมในหน้าหนาวขาวโพลนไปทั่ว แต่เมื่อใดเกิดการระเบิด เมื่อนั้นจึงจะรู้ได้โดยประจักษ์ชัดว่าเป็นภูเขาไฟ ความร้อนและลาวาที่ถูกพ่นออกมา นอกจากจะทำให้ภูเขาต้องระเบิดทำลายตัวเองแล้ว ยังเผาไหม้หลอมละลายสร้างความเสียหายให้แก่ต้นไม้ สัตว์ป่า สิ่งมีชีวิต รวมถึงมนุษย์ที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียง ก็ประสบภัย ทำให้เดือดร้อนไปตามๆ กันอีกด้วย
                ผู้คนที่เราพบเห็นอยู่ในสังคมก็เช่นกัน ดูจากภายนอกหรือสัมผัสเพียงผิวเผินก็เห็นเป็นบุคคลปกติธรรมดาไม่ต่างจากใครอื่น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภายในร่างกายของคนที่มีความละม้ายคล้ายกันในทางรูปธรรมนั้น ย่อมมีสิ่งหนึ่งที่ต่างกันมาก และไม่สามารถสังเกตจากรูปร่างภายนอกได้ สิ่งนั้นคือจิตใจ คนบางคนมีรูปร่างหน้าตาบุคลิกดีมีฐานะดี แต่งตัวดี ตำแหน่งหน้าที่การงานดี มียศมีศักดิ์ในสังคม ดูแล้วชีวิตน่าจะสมบูรณ์พูนสุข แต่ในความเป็นจริงยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ดูปกติดีแต่ภายนอก ส่วนภายในจิตใจเร่าร้อนระอุคุกรุ่น ไม่ต่างจากภูเขาไฟพร้อมที่จะระเบิดอยู่ตลอดเวลา อันเนื่องมาจากไฟคือกิเลส ได้แก่ความละโลภมาก ความโกรธแค้นอาฆาตพยาบาท และความลุ่มหลงมัวเมาในสิ่งที่ผิด ตลอดจนการปล่อยตัวปล่อยใจให้จมอยู่กับสิ่งที่พระท่านเรียกว่า อนิฏฐารมณ์ กล่าวคือเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา และความทุกข์ร้อนต่างๆ สภาพเหล่านี้เป็นเสมือนไฟสุมอก เร่าร้อนรุนแรงกว่าความร้อนของภูเขาไฟหลายเท่านัก
                ใครที่ตกอยู่ในลักษณะเย็นนอกร้อนในเช่นนี้ พึงทราบว่า ท่านกำลังมีสภาพไม่ผิดอะไรกับภูเขาไฟ ลูกหนึ่งถ้าควบคุมไม่ได้ ก็อาจจะระเบิดออกมาได้ทุกขณะ จึงควรรีบแก้ไขดับร้อนนั้นเสียโดยเร็ว คือให้ดับไฟโลภด้วยการให้ ดับไฟโกรธด้วยการแผ่เมตตา ดับไฟหลงด้วยปัญญา และดับความหมองไหม้กระวนกระวายด้วยสมาธิโดยสรุปก็คือ ใช้เย็นดับร้อน ใช้ธรรมดับทุกข์ เหมือนใช้น้ำดับไฟ ก่อนที่จะระเบิดพินาศย่อยยับ เหมือนการระเบิดของภูเขาไฟฉันนั้น

..................................

บารมีสิบ

               พระพุทธศาสนามีหลักธรรมหมวดหนึ่งเรียกว่า บารมีหรือบารมีธรรม คือคุณความดีที่ควรบำเพ็ญเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ดีงาม บารมีนี้เป็นคู่ปรับอธรรม ท่านจัดเป็นคู่ๆ ไว้ ๑๐ คู่ คือ
                ๑.ทานบารมี การเสียสละ การบริจาค คู่ปรับของความตระหนี่
                ๒.ศีลบารมี การมีศีล คู่ปรับของการไม่มีศีล
                ๓.เนกขัมมบารมี ความสงบระงับจากการถูกกามารมณ์เบียดเบียนแม้ชั่วขณะจิต คู่ปรับของความฟุ้งซ่านตามกระแสของกามารมณ์
                ๔.ปัญญาบารมี การรู้เห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นๆ คู่ปรับของอวิชชาคือความรู้เห็นที่ผิดพลาดจากความเป็นจริง
                ๕.วิริยบารมี ความพากเพียรพยายามในทางที่ถูกต้อง คู่ปรับของความเกียจคร้านในการงานที่ถูกต้อง
                ๖.ขันติบารมี ความอดทน อดกลั้น ต่อสิ่งที่ไม่พอใจ คู่ปรับของความโกรธ
                ๗.สัจจบารมี รักษาความจริง ความถูกต้อง ตามครรลองคลองธรรม คู่ปรับของคำพูดจามดเท็จ
                ๘.อธิษฐานบารมี การตั้งใจแน่วแน่ในหน้าที่การงานที่กระทำ คู่ปรับของความโลเล ความไม่ตั้งใจจริงในหน้าที่การงานที่กระทำ
                ๙.เมตตาบารมี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เอื้ออาทรต่อผู้อื่น คู่ปรับของความอาฆาตมาดร้ายต่อผู้อื่น
                ๑๐.อุเบกขาบารมี ความวางใจเป็นกลาง ไม่โอนเอียงไปเข้าข้างใดข้างหนึ่ง คู่ปรับของอคติ ความลำเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง
                คราวใดอธรรมเกิดขึ้นในใจ ต้องพยายามใช้บารมีข้อใดข้อหนึ่งเป็นคู่ปรับกันให้ทันกาลเวลา ถ้าปฏิบัติได้แล้ว จะมีชัยชนะทุกคราวที่บารมีเกิดขึ้น เมื่อฝึกบ่อยๆ ก็จะสามารถชนะอธรรมได้มากขึ้น ซึ่งก็คือประสบความสำเร็จได้มากขึ้นนั่นเอง

...................................

วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ภูเขาไฟ


                ภูเขาไฟ เมื่อสังเกตจากรูปลักษณ์ภายนอก ก็ดูเหมือนจะไม่แตกต่างจากภูเขาธรรมดาทั่วไป แต่ในความเป็นจริง ภูเขาไฟต่างจากภูเขาประเภทอื่นเป็นอย่างยิ่งตรงที่มีไฟ หรือลาวา ที่ร้อนแรงอยู่ภายใน ขณะที่ภูเขาอื่นไม่มี เมื่อใดที่ภูเขาไฟยังไม่ระเบิด หรือไม่มีอาการส่อว่าจะระเบิด ก็มองไม่ออก มีต้นไม้ นานาพันธุ์ขึ้นอยู่เขียวขจีหรือไม่ก็มีหิมะปกคลุมในหน้าหนาวขาวโพลนไปทั่ว แต่เมื่อใดเกิดการระเบิด เมื่อนั้นจึงจะรู้ได้โดยประจักษ์ชัดว่าเป็นภูเขาไฟ ความร้อนและลาวาที่ถูกพ่นออกมา นอกจากจะทำให้ภูเขาต้องระเบิดทำลายตัวเองแล้ว ยังเผาไหม้หลอมละลายสร้างความเสียหายให้แก่ต้นไม้ สัตว์ป่า สิ่งมีชีวิต รวมถึงมนุษย์ที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียง ก็ประสบภัย ทำให้เดือดร้อนไปตามๆ กันอีกด้วย
                ผู้คนที่เราพบเห็นอยู่ในสังคมก็เช่นกัน ดูจากภายนอกหรือสัมผัสเพียงผิวเผินก็เห็นเป็นบุคคลปกติธรรมดาไม่ต่างจากใครอื่น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภายในร่างกายของคนที่มีความละม้ายคล้ายกันในทางรูปธรรมนั้น ย่อมมีสิ่งหนึ่งที่ต่างกันมาก และไม่สามารถสังเกตจากรูปร่างภายนอกได้ สิ่งนั้นคือจิตใจ คนบางคนมีรูปร่างหน้าตาบุคลิกดีมีฐานะดี แต่งตัวดี ตำแหน่งหน้าที่การงานดี มียศมีศักดิ์ในสังคม ดูแล้วชีวิตน่าจะสมบูรณ์พูนสุข แต่ในความเป็นจริงยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ดูปกติดีแต่ภายนอก ส่วนภายในจิตใจเร่าร้อนระอุคุกรุ่น ไม่ต่างจากภูเขาไฟพร้อมที่จะระเบิดอยู่ตลอดเวลา อันเนื่องมาจากไฟคือกิเลส ได้แก่ความละโลภมาก ความโกรธแค้นอาฆาตพยาบาท และความลุ่มหลงมัวเมาในสิ่งที่ผิด ตลอดจนการปล่อยตัวปล่อยใจให้จมอยู่กับสิ่งที่พระท่านเรียกว่า อนิฏฐารมณ์ กล่าวคือเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา และความทุกข์ร้อนต่างๆ สภาพเหล่านี้เป็นเสมือนไฟสุมอก เร่าร้อนรุนแรงกว่าความร้อนของภูเขาไฟหลายเท่านัก
                ใครที่ตกอยู่ในลักษณะเย็นนอกร้อนในเช่นนี้ พึงทราบว่า ท่านกำลังมีสภาพไม่ผิดอะไรกับภูเขาไฟ ลูกหนึ่งถ้าควบคุมไม่ได้ ก็อาจจะระเบิดออกมาได้ทุกขณะ จึงควรรีบแก้ไขดับร้อนนั้นเสียโดยเร็ว คือให้ดับไฟโลภด้วยการให้ ดับไฟโกรธด้วยการแผ่เมตตา ดับไฟหลงด้วยปัญญา และดับความหมองไหม้กระวนกระวายด้วยสมาธิโดยสรุปก็คือ ใช้เย็นดับร้อน ใช้ธรรมดับทุกข์ เหมือนใช้น้ำดับไฟ ก่อนที่จะระเบิดพินาศย่อยยับ เหมือนการระเบิดของภูเขาไฟนั่นเอง

..................................

ตาย


                ท่านที่ไปร่วมฟังสวดพระอภิธรรม คงเคยเห็นตาลปัตร ๔ ด้าม ที่พระสงฆ์ใช้ขณะสวด ปักเป็นข้อความด้ามละวรรคเรียงกันไปว่า “ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น” ทั้งหมดจะเกี่ยวกับความตายทั้งนั้น ความตายเป็นสิ่งที่ทุกชีวิตต้องประสบ หลบไม่ได้ เลี่ยงไม่พ้น แม้ว่าจะไม่มีใครปรารถนาแต่ก็ต้องพบ
                เมื่อเรารู้ว่าถึงอย่างไรก็ต้องตาย แล้วจะทำอย่างไร ท่านพุทธทาสภิกขุ เคยกล่าวสอนไว้ว่าการตาย เป็นหน้าที่ของสังขารอย่างไม่มีทางเปลี่ยนแปลง แก้ไข นอกจากต้อนรับให้ถูกวิธี มีคติอุทาหรณ์ที่ดีและการมีชีวิตอยู่อย่างมีประโยชน์แก่ทุกฝ่าย เป็นหน้าที่ของผู้ที่ยังไม่ตายและรู้หน้าที่ของตน...
                การคิดถึงความตายหรือการไปร่วมงานศพ อาจจะทำให้จิตใจเศร้าสลดหดหู่ แต่หากมองในแง่ของธรรมะ ก็มีสาระให้ความคำนึงได้ ดังนี้
                ๑.ได้เห็นความดี เห็นคุณค่าแห่งชีวิตปรากฏชัดขึ้น อันก่อให้เกิดความอาลัยรัก เสียดายเมื่อตายจาก
                ๒ได้ความสามัคคีปรองดอง เกิดความเห็นใจ เข้าใจ ไม่ทอดทิ้งหรือนิ่งดูดาย
                ๓.มองเห็นสัจธรรม ว่าทุกอย่างต่างมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และช่วยให้มีสติ ได้ความสำนึกที่ดี
                ๔.รีบทำที่พึ่งแก่ตน โดยยึดเอาคนตายเป็นเครื่องเตือนตนให้เร่งละชั่ว ทำดี ทำจิตให้บริสุทธิ์ ไม่ประมาทเมามัว คิดว่าตัวยังไม่ตาย ตรงตามพุทธภาษิตว่า “เพียรทำความดีเสียตั้งแต่วันนี้ เพราะไม่มีใครรู้ได้ว่าพรุ่งนี้จะตายหรือยังอยู่” คิดในแง่นี้ ความตายก็มีประโยชน์ คือเป็นตัวเร่งให้เราขยันทำความดี ทำหน้าที่ให้หมดจดเรียบร้อย  ดังนั้น เราท่านทั้งหลายจงรีบขวนขวายหาที่พึ่ง และเตือนตนไว้เสมอว่า
เกิดมาจงสร้าง แต่ความดี

..................................

วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ผิดทาง


                มีเรื่องเล่าว่า ชาวจีนคนหนึ่ง ต้องการจะเดินทางจากจงหยวนไปยังรัฐฉู่ ซึ่งอยู่ทางใต้ แต่เขานั่งรถม้ามุ่งหน้าไปทางเหนือ ระหว่างทางมีผู้หวังดีบอกว่า รัฐฉู่อยู่ทางทิศใต้ เขากลับตอบว่า ไม่เป็นไร ม้าของเขามีฝีเท้าจัด เขามีเงินค่าเดินทางเยอะ และคนขับรถม้าก็มีความชำนาญมาก แล้วไม่ยอมฟังคำท้วงติงใดๆ ไม่มองความผิดพลาดของตนเอง ยังคงมุ่งหน้าไปตามทิศทางที่ผิดต่อไป ในที่สุด กลายเป็นว่าม้าของเขายิ่งวิ่งดีเท่าไร เงินค่าเดินทางของเขายิ่งมากเท่าไร และคนขับรถม้าของเขายิ่งชำนาญเท่าไร เขาก็ยิ่งเดินทางห่างรัฐฉู่ออกไปมากเท่านั้น ทั้งนี้เพราะความคิดที่ผิดโดยแท้
                ในมุมมองทางพุทธศาสนาของเปรียบ รัฐฉู่ในเรื่องนี้ เป็นความสุขของคน อันประกอบด้วย ความมีสุขภาพที่แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ความสงบร่มเย็นในชีวิตครอบครัว และความสำเร็จในอาชีพการงาน ตลอดถึงความมั่งมีศรีสุขในการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นยอดปรารถนาของคนทั้งหลาย แต่ความจริงในสังคมปัจจุบัน กลับปรากฏว่ายังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ดำเนินชีวิตสวนทางกับสิ่งที่ตนปรารถนานั้น เช่น อยากมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง แต่กลับสูบบุหรี่ ดื่มสุรา เที่ยวเตร่ อยากมีความสงบราบรื่นในครอบครัว และความสำเร็จในชีวิต แต่กลับไม่ซื่อสัตย์ต่อครอบครัว เกียจคร้านการทำงาน เล่นการพนัน ที่สำคัญถึงจะมีผู้ปรารถนาดีคอยแนะนำบอกทางที่ถูกให้ก็ไม่เชื่อฟัง จึงไม่ต่างอะไรกับการเดินผิดทิศผิดทางของชาวจีนคนนั้น
                ในการเคารพต่อคำตักเตือนของบุคคลรอบข้าง โดยเฉพาะจากผู้รู้ที่เตือนด้วยความปารถนาดี จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะชีวิตก็เหมือนการเดินทางในแง่ว่าต้องมีจุดหมายและลงมือปฏิบัติให้ถึงจุดหมาย ถ้ายังอยู่ในทางถึงลำลากยากเย็นหรือเนิ่นนานอย่างไรก็ยังพอมีหวัง แต่ถ้าเดินผิดทาง ก็ล้มเหลวเสียตั้งแต่ต้น
                ลองตรองดู

......................................

ระวังความรู้สึก


                ความรู้สึกนึกคิดในใจคนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการที่จะพูดและทำอะไรทุกครั้ง ย่อมเริ่มมาจากความรู้สึกนึกคิดก่อน หากใครสามารถควบคุมจิตใจให้อยู่ในความดีได้ก็เท่ากับว่าได้ควบคุมคำพูดและการกระทำให้ดีตามไปด้วย แต่เนื่องจากจิตใจนี้เป็นธรรมชาติที่ควบคุมได้ยากที่สุด เรื่องจึงกลายเป็นว่าบางครั้งแทนที่จะควบคุมความคิดได้ กลับถูกความคิดควบคุม แทนที่จะควบคุมความรู้สึกไว้ได้กลับถูกความรู้สึกควบคุม ทำให้ตกอยู่ในสภาพชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้าง
                ความรู้สึกชอบและไม่ชอบทั้งสองนี้ มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคนแบบตรงข้ามกัน กล่าวคือคนเราเมื่อชอบกันแล้ว ก็ทำให้พอใจ เห็นใจ และปรารถนาดีต่อกัน เคารพให้เกียรติกัน สิ่งดีๆ เหล่านี้ช่วยทำให้ผู้มีความรู้สึกนึกคิดในทางที่ชอบต่อกันอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข แตกต่างจากความรู้สึกของบุคคลที่ไม่ชอบกัน ที่มักจะทำให้หมดความอาลัยไยดีต่อกัน ทำให้เห็นแก่ตัว ไม่มีความจริงใจต่อกัน ตลอดจนไม่ให้เกียรติเคารพยำเกรงกัน ซึ่งทำให้ผู้ตกอยู่ในลักษณะเช่นนั้น มีความเร่าร้อนทุกข์ใจ
                ดังที่กล่าวข้างต้นว่า จิตใจเป็นเรื่องที่ต้องควบคุม ความชอบใจหรือความไม่ชอบใจแม้จะเป็นสภาวะที่ต้องมี ห้ามไม่ได้ หรือแม้แต่จะส่งผลดีได้ในบางแง่มุม แต่ก็เป็นเรื่องต้องควบคุมให้ชอบหรือไม่ชอบอย่างมีเหตุผล อย่างอิงหลักการและความถูกต้องให้มากที่สุด เพราะถ้าปล่อยไปตามอารมณ์หรือความรู้สึกอย่างเดียว ความชอบ/ไม่ชอบนี้จะเป็นอาวุธทำร้ายผู้อื่น และบางครั้งถึงขั้นหวนกลับมาทำร้ายตัวเองเลยก็มี

......................................

สำคัญที่กรรม


                ถ้าเราสังเกตยวดยานพาหนะที่แล่นไปมาบนท้องถนน โดยเฉพาะรถยนต์นั่งส่วนบุคคล จะพบบ่อยครั้งว่า รถบางคันมีสีอย่างหนึ่งแต่เขียนบอกไว้ที่ท้ายรถว่าเป็นอีกสีหนึ่ง ส่วนมากทำกันเพื่อการแก้เคล็ด คือ รถที่ซื้อมาแล้วสีไม่ถูกกับดวงชะตาของเจ้าของ หรือไม่ถูกโฉลกกัน เพื่อเป็นการแก้เคล็ดให้เป็นมงคลแก่รถและเจ้าของรถ จึงเขียนสี่บอกไว้ดังกล่าว
                เรื่องดังกล่าวเป็นความเชื่อในเชิงโหราศาสตร์ หรือดวงชะตาชีวิต จะถูกผิดอย่างไรก็ยากที่จะพิสูจน์ยืนยันได้ ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละบุคคล แต่ถ้าศึกษาหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา จะเห็นว่า สอนให้ตระหนักในเรื่องกรรม และผลของกรรม กล่าวคือ ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากการกระทำของคน ฉะนั้นจะขับรถสีอะไร จะออกรถวันไหน เวลาใดนั้น จึงไม่สำคัญเท่ากับการทำดี ทำสิ่งที่ถูกต้อง และตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาทหรือไม่ ทำดี พูดดี ปฏิบัติตามกฎระเบียบขับรถอย่างผู้มีสติแล้ว ก็ไม่ต้องวิตกกังวลอะไร และไม่จำเป็นต้องเขียนแก้เคล็ดกันอีกต่อไป เพราะความดีนั้นแหละจะเป็นเครื่องคุ้มครองอยู่ในตัว ดังคำประพันธ์
                                มีสติ  ตริตรึก นึกเหตุผล
                รู้ตัวตน  ไว้เสมอ  ไม่เผลอไผล
                ผู้ขับรถ  มีสติตลอด  ก็ปลอดภัย
                มันมิใช่  เพาะหลวงตา  มาช่วยเจิม

......................................