วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ปัจจัย ๕


                คำว่า “ปัจจัย” มีความหมายหลายอย่าง เช่น หนทาง หรือเหตุให้เกิดผลก็ได้ เช่น การศึกษา เป็นปัจจัยให้เกิดความรู้ความสามารถ หมายถึงเครื่องอาศัยยังชีพที่จำเป็นก็ได้ เช่น ปัจจัยสี่ คือ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค หรือโดยปริยาย หมายถึงเงินตรา
                คำว่า “ปัจจัย” ที่หมายถึงเครื่องอาศัยยังชีพนั้น แต่เดิมคำสอนที่มุ่งประสงค์สำหรับผู้บวชในพระพุทธศาสนา ได้ถือเป็นหลักปฏิบัติโดยตรง เพื่อตัดภาระในการดำรงชีพให้มีน้อยที่สุด มิได้สอนสำหรับคฤหัสถ์หรือชาวบ้านซึ่งต้องครองเรือน มีครอบครัว ทำธุรกิจการงานต่างๆ แต่อย่างใด เพราะฉะนั้นการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน จึงสามารถมีเครื่องอาศัยยังชีพที่สำคัญซึ่งเป็นปัจจัยที่ ๕ ของชีวิตได้
                ปัจจุบันมีเครื่องอุปโภคบริโภคนานาชนิด ที่ผู้ขายพยายามโฆษณาให้เห็นสรรพคุณว่าเป็นสิ่งจำเป็น สมควรยอมรับว่าเป็นปัจจัยที่ ๕ ของชีวิต เช่น รถยนต์ โทรศัพท์ โทรทัศน์ และเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดข้อถกเถียงกันว่าเครื่องอุปโภคบริโภคประเภทใดสมควรได้รับการยอมรับว่าเป็นปัจจัยที่ ๕ ของชีวิตอย่างแท้จริง
                แม้ในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาจะไม่ได้ระบุว่าอะไรเป็นปัจจัยที่ ๕ สำหรับชีวิตคฤหัสถ์ หรือชาวบ้านแต่ท่านพุทธทาสภิกขุ พระนักคิด นักเขียน นักปรัชญา และเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาได้ให้ข้อคิดว่า “ธรรมะ” ถือเป็นปัจจัยที่ ๕ ของชีวิตทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ เพราะธรรมะทำให้คนไม่เบียดเบียนกัน ธรรมะทำให้คนสงเคราะห์เกื้อกูลกันในทางที่ถูก ธรรมะทำให้คนดำรงตนอยู่ในแนวทางที่ไม่ผิดพลาด กล่าวโดยรวบยอด ธรรมะทำให้คนประเสริฐกว่าสัตว์เดรัจฉาน ธรรมะจึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นแก่ทุกคนทุกครอบครัว ทุกสังคม ทุกชาติภาษา และทุกยุคทุกสมัย ทั้งในการดำรงชีวิต การดำเนินธุรกิจการงาน และการใช้สอยเครื่องอุปโภคบริโภคประจำวัน หากขาด “ธรรมะ” เสียแล้ว ย่อมส่งผลให้เป็นทุกข์ วุ่นวาย และเดือดร้อนทั่วไป อย่างปฏิเสธไม่ได้
                แม้เราจะมีปัจจัย ๔ อย่างสมบูรณ์เหลือเฟือ แต่ถ้าไม่มีธรรมะเป็นปัจจัยที่ ๕ เสียแล้ว ปัจจัย ๔ หรือปัจจัยอีกกี่ร้อยกี่พันก็ไร้ค่า เพราะเราจะหาความสุขจากปัจจัยเหล่านั้นไม่ได้เลย

.............................................

แรงดึงดูด


                เมื่อเอ่ยคำว่า โลกนี้มีแรงดึงดูด ทุกคนคงมองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน นักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า การที่โลกหมุนรอบตัวเองอยู่ในชั้นบรรยากาศ โดยที่สรรพสิ่งที่อาศัยอยู่บนโลกไม่หลุดลอยไปในห้วงอวกาศนั้น เป็นเพราะโลกมีแรงดึงดูดอยู่ในตัวเอง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีใครสรรค์สร้าง ถึงแม้สิ่งที่โลกดึงดูดเอาไว้นั้นจะเป็นสิ่งที่ไม่ดีหรือเป็นอัปมงคลก็ตาม จัดเป็นสิ่งที่ต้องอยู่คู่กันไปตลอดชั่วฟ้าดินสลาย ไม่สามารถที่จะสลัดทิ้งได้
                ชีวิตคนเราก็เช่นเดียวกัน ย่อมจะมีแรงดึงดูดในตัวเองมากน้อยแตกต่างกันไป แต่สิ่งสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ใครจะเลือกดึงดูดเอาความดีหรือความชั่วเข้ามาสู่ชีวิต ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพจิตของแต่ละคนซึ่งได้รับการฝึกฝนมากน้อยเพียรไร สิ่งที่เป็นเหมือนแรงดึงดูดในทางพระพุทธศาสนา คือ ความดี ๔ ประการ ได้แก่
                ๑. ความรู้ดี คือ รอบรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์และมิใช่ประโยชน์โดยการศึกษาจากแหล่งความรู้ต่างๆ
                ๒. ความสามารถดี คือ สามารถนำความรู้ที่มีอยู่มาแก้ปัญหาในชีวิตได้จนเป็นที่ยอมรับจากคนทั่วไป
                ๓. ความประพฤติดี คือ ควบคุมพฤติกรรมที่แสดงออกทางกาย วาจา ใจ ไม่ให้เป็นไปในทางก่อความเสียหายแก่ผู้อื่น รวมทั้งมีความอ่อนน้อมถ่อมตน เข้ากับคนอื่นได้ง่าย
                ๔. บุญวาสนาดี คือ ได้เคยสั่งสมความดีไว้ในอดีตและทำต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย
                ความดีทั้ง ๔ ประการนี้ เป็นเหมือนแรงดึงดูด หากมีพร้อมอยู่ในผู้ใด ย่อมทำให้ผู้นั้น สามารถดึงดูดผูกมัดและเหนี่ยวรั้งจิตใจผู้อื่นได้ ในทางตรงข้าม หากปราศจากความดีข้างต้น แรงดึงดูดในตัวเองก็จะลดลงและไม่เป็นที่ปรารถนาของผู้อื่น ในสังคมปัจจุบันยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่พยายามดึงดูดสิ่งที่เป็นโทษแก่ชีวิตไว้โดยไม่รู้ตัว เช่น ยาเสพติดและอบายมุขต่างๆ ทั้งๆ ที่สามารถสลัดทิ้งสิ่งที่เป็นโทษเหล่านั้นได้
                ลองถามตัวเองสักนิดว่า แรงดึงดูดคือความดีในตัวเองมีมากแค่ไหน และกำลังดึงดูดสิ่งที่เป็นโทษหรือเป็นประโยชน์แก่ชีวิต

.........................................

ตักบาตร


                การตักบาตร คือการเอาข้าวและกับข้าวใส่ลงไปในบาตรของพระภิกษุสามเณร เราจะตักบาตรเป็นประจำทุกวันหรือเฉพาะวันพระหรือวันคล้ายวันเกิดของตนก็แล้วแต่ศรัทธา กำลังทรัพย์และความสะดวกของตน
                การทำบุญตักบาตร เป็นกิจที่ชาวพุทธนิยมทำกัน เป็นการช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา เพราะพระภิกษุสามเณรเป็นผู้สละโลก ไม่ได้ประกอบอาชีพใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากจะปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อขัดเกลาตนเองและนำความรู้ไปแนะนำสั่งสอนพุทธศาสนิกชนให้ประพฤติดีละเว้นความชั่ว และทำจิตใจให้สะอาดผ่องใส
                การทำบุญตักบาตรที่ถือว่าได้บุญมากนั้นจะต้องมีองค์ประกอบ ๓ ประการ คือ
                ๑. วัตถุสิ่งของสำหรับทำบุญต้องบริสุทธิ์ หมายความว่า เงินทองที่นำมาจับจ่ายซื้อสิ่งของมาทำบุญต้องได้มาด้วยความสุจริต ไม่คดโกงหรือขโมยใครมา เป็นของบริสุทธิ์ ไม่ได้เบียดเบียนชีวิตสัตว์ คือไม่ได้ฆ่าสัตว์มาทำบุญ และวัตถุที่นำมาทำบุญนิยมคัดเลือกของที่มีคุณภาพดี อย่างน้อยก็ไม่เลวกว่าที่เรากินเราใช้อยู่เป็นปกติ ชาวพุทธเมื่อจะใส่บาตรจึงนิยมตักบาตรด้วยข้าวปากหม้อ ถ้าเป็นแกงก็แกงถ้วยแรกที่ตักจากหม้อ
                ๒. เจตนาของผู้ถวายต้องบริสุทธิ์ หมายความว่า เจตนาต้องบริสุทธิ์ทั้ง ๓ ขณะ คือ ก่อนให้ก็ต้องมีจิตศรัทธา เลื่อมใส กำลังให้ก็มีจิตใจผ่องใส ให้ด้วยความเคารพ และหลังจากให้แล้วก็มีจิตใจแช่มชื่น ไม่นึกเสียดาย
                ๓. ผู้รับเป็นผู้มีศีล หมายความว่า บริจาคให้แก่ผู้มีศีลมีคุณธรรม เรานิยมถวายอาหารและสิ่งของแก่พระภิกษุสามเณร เพราะท่านเป็นผู้ทรงศีล พระพุทธเจ้าทรงเปรียบพระภิกษุสามเณรผู้มีศีลว่า เป็นบุญเขต แปลว่า นาบุญ ดังบทสรรเสริญพระสังฆคุณว่า อนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยมของชาวโลก
                การทำบุญด้วยการตักบาตรหรือบริจาคทานในโอกาสใดๆ ก็ตาม ถ้าบริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วยองค์ประกอบทั้ง ๓ ประการ ดังกล่าวมานี้ ก็จะได้บุญเต็มเปี่ยม คือผู้ให้ก็สบายใจ ชื่นใจ นอกจากจะได้สงเคราะห์ผู้รับให้มีกำลังทำความดีต่อไปแล้ว ยังเป็นการขัดเกลาขจัดความตระหนี่ของตนเองด้วย ฝ่ายผู้รับเมื่อได้รับการสนับสนุนเช่นนี้ ก็จะมีกำลังในการทำความดีได้โดยสะดวก เป็นอันว่าได้ช่วยกันสร้างสรรค์ความดีงามให้เกิดขึ้นและแผ่ขยายในวงกว้างต่อๆ ไปด้วย

........................................

พระคุณแม่


                คำว่า “แม่” มีความหมายสำหรับลูกๆ ทุกๆ คน แต่น้อยคนนักที่จะซาบซึ้งในความหมายนี้อย่างแท้จริง เพราะได้ยินคำนี้มาจนชินชาและดูเป็นธรรมดาไปเสียแล้ว จึงขอนำพระคุณแม่มาเสนอ ดังนี้
ลักษณะของแม่
                ๑. เมื่อแม่ต้องการมีลูก ก็ได้อ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่แม่นับถือ เพื่อให้ได้ลูกอย่างที่ปรารถนา
                ๒. เมื่อแม่ตั้งครรภ์แล้วได้พยายามรักษาครรภ์อย่างดีที่สุด
                ๓. เมื่อคลอดลูกแล้วได้ปลอบโยนเลี้ยงดูลูกอย่างดีตามความสามารถ
                ๔. แม่พยายามรักษาทรัพย์สมบัติที่หามาได้เพื่อลูกๆ
พระคุณของแม่เปรียบกับใครได้บ้าง
                ๑. เปรียบได้ดังพระพรหม เพราะมีความเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาต่อลูกๆ
                ๒. เปรียบได้ดังบุรพเทพ เพราะลูกๆ ได้รู้จักเทพเหล่าอื่นที่หลัง แต่ได้รู้จักแม่ก่อนเทพเหล่านั้น ฉะนั้นแม่จึงเป็นดั่งบุรพเทพ
                ๓. เปรียบได้ดังบุรพาจารย์ของลูกๆ เพราะได้สอนลูกๆ ก่อนอาจารย์อื่นๆ
                ๔. เปรียบเป็นอาหุไนยบุคคลของลูกๆ เพราะเป็นผู้ที่เหมาะสมแก่การรับข้าว น้ำ เป็นต้นของลูกๆ
พระคุณของแม่
                ๑. เลี้ยงดูท่านทั้งทางกายและจิตใจ
                ๒. ช่วยเหลือแบ่งเบาภารกิจของท่าน
                ๓. ดำรงวงศ์ตระกูลของท่าน
                ๔. ปฏิบัติตัวให้เหมาะสมที่เป็นทายาทขอท่าน
                ๕. เมื่อท่านล่วงลับไปทำบุญอุทิศให้ท่าน
                ๖. แม่ไม่มีศรัทธาในพระศาสนา พยายามโน้มน้าวให้มีศรัทธา
                ๗. ไม่มีศีล พยายามชักชวนให้มีศีล
                ๘. ไม่เสียสละ พยายามยามชักชวนให้เสียสละ
                ๙. ไม่ค่อยรอบรู้ พยายามชักชวนให้ท่านมีความรอบรู้
                เมื่อลูกๆ ได้ทำการตอบสนองคุณของแม่แล้ว ลูกและแม่ก็จะมีความสุขใจสบายใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย

.........................................

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

สุขทำให้หลง

สุข ทำให้หลง
ในลาบ ในตำแหน่ง ในยศ ในสรรเสริญ ในความเก่ง ในความรู้ ในความสามารถ ในความร่ำรวย ในปริญญา ตรี โท เอก ในความสวย หล่อ กว่า ในความมานะทิฐถิ สูงกว่า ในอำนาจ ในกิเลสตัณหาทั้งปวง ที่เป็นฝ่ายกุศล
 นั่นคือหลงและยิ่งห่างไกลพระธรรม เพราะได้หลงบุญอยู่ บุญที่เสวยสุขในโลกธรรมอยู่ หารู้ไม่บุญตัวนี้ ก็คือกิเลสฝ่ายดีตัวหนึ่ง ไม่พ้นทุกข์แท้จริง เมื่อหมดบุญ เสื่อมบุญ เช่น ความตายมาเยือน เรียกว่าหมดบุญของโลกธรรมอย่างหนึ่ง หรือปลดเกษียณ ก็หมออำนาจ ก็หมดบุญอย่างหนึ่ง นี่คือตัวอย่างกิเลสฝ่ายดี ฝ่ายกุศล ที่มนุษย์หลงกันนักหนา ว่าสุขที่สุดในโลกธรรม แต่เป็น เปลือกสุข ของโลกโลกุตระธรรม
 สุขที่สุดของโลกโลกุตระธรรม คือความว่าง ความไม่มีอะไรเลย ทั้งกิเลสฝ่ายดี(กุศล) และกิเลสฝ่ายชั่ว(อกุศล) คือ จิตที่ว่าง จิตที่หมดจด จากกิเลสทั้งสองฝ่าย คือจิตที่เป็นกลาง เรียกว่า จิตเข้าถึงปรมัทถธรรม คือจิตที่เข้าสู่กระแสมรรค จิตที่เข้าสู่กระผล และสุดท้ายจิตที่เข้าสู่กระแสพระนิพพาน นี่คือ จิตที่ไม่หลงแล้วในกิเลส พ้นทุกข์แท้จริง เป็นจิตที่สะอาด บริสุทธิ ด้วยอรยะมรรค อริยะผล จิตที่ไม่มีมลทิล แห่งอาสวะกิเลสน้อยใหญ่ ทั้งฝ่ายดี และฝ่ายชั่วปนเปลื้อน อยู่เลย นี่คือ แก่นธรรม นี่คือธรรมะแท้ ไม่ใช่เปลือก ไม่ใช่ของปลอม จริงล้วนๆ
..........

โลกียะสุข

โลกียะสุขคือสุขที่เป็นม่านปิดบังทุกข์ ส่วนโลกกุตระสุข คือสุขทีเปิดม่าน มาดับเย็นภายในจิต ที่เกิดทุกข์ เมื่อโลกียะสุขหมดไป เปรียบดัง กิน กาม เกียรติ หมดลง เสื่อมลง ทุกข์ก็ยังตั้งรออยู่ ไม่ได้ถูกทำลายไปไหน เหลือแต่กองเพลิงในดวงจิต เพราะโลกียะสุขที่เป็นม่านหมอกจางลง เบาบางลง ไม่มีอะไรมาบังกองเพลิงจิต ได้เห็นจิต ภายในจิตที่ซ่อนกองเพลิงอยู่ เหลือแต่เศษขยะโลกียะสุข ได้ขยะกองทุกข์เท่ากองภูเขารออยู่ในจิตภายในจิตที่ร้อนรนยิ่งกว่าเปลวเพลิงที่เป็นกองไฟนรกเสียอีก ส่วนกองสุข ที่ดับเย็น จิตภายในจิต มองหาไม่เจอเลย เพราะจิต ยังไม่รู้ว่าดับเย็นของจิตภายในจิต เป็นอย่างไร คือผู้ไม่มีปัญญาญาณ ถูกแต่ปัญญาไอคิว๑๘๐ครอบงำ มีแต่ปัญญาทางโลกธรรมครอบงำจิตอยู่ แต่ไม่มีปัญญทางโลกุตระ ทีเป็นปัญญาญาณในการ ดับเย็นของจิตภายในจิต โดยปฎิบัติเจร็ญภาวนาบ้าง ไม่ใช่มีแตปัญญาทางโลก หาเงิน ทำงาน หาทอง หาโลกียะสุข แสวงกิน แสวงกาม แสวงเกียรติ์ แสวงลาบ แสวงตำแหน่ง แสวงความเป็นมหาเศรษฐี แสวงการได้เมีย แสวงการอยากได้ลูก แสวงหาการอยากได้สิ่งต่าง ของโลกียะสุขที่ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ้งเป็น ปัญญาทางไอคิว๑๘๐ ล้วนๆ เป็นปัญญาที่เพิ่มกองเพลิง จิตภายในจิต แต่ปัญญาญาณ เป็นปัญญาทางโลกุตระจิต เป็นปัญญาที่ สามารถดับกองเพลิงจิตภายในจิตที่ร้อนรน ให้เป็น ให้เกิด จิตภายในจิตที่ดับเย็นได้คิอปัญญาวิปัสนาญาณ เป็นปัญญาวิมุติ เป็นปัญญาญาณทางโลกุตระที่ดับเย็นกิเลสที่ร้อนรุ่มภายในจิตโดยแท้ และเป็นปัญาญาณทางโลกุตระ ปัญญาเดียวเท่านั้น 


ปัญญาทางโลก ให้เรียนวิชาในโลกใบนี้ 
เก่งขนาด ผู้คิดค้นระเบิดปรมณูได้ แต่ยังไม่มีปัญญาญาณ ที่ดับเย็น จิตภายในจิตได้เลย หรือ ผู้เรียนจบ ดอกเตอร์ มาในวิชา ที่มีอยูในมหาลัย ทั้งโลกใบนี้ ก็ยังไม่มีปัญญาญาณดับเย็น จิตภายในจิตได้เลย นอกจากปัญญาญาณ ของโลกุตระ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงชี้ทางไว้ให้เดินตามนี้ เป็นปัญญาญาณ ที่ดับเย็น เป็นปัญญาที่นำพาจิต ละออกจากกิเลส ตัณหา ตัวอวิชา ที่เป็นกิเลสหรอกจิต เห็น ตัววิชา คือธรรมะแท้ มาทำลายกิเลส ที่มาบดบังจิต ให้มืดมน มานับภพ มานับชาติไม่ถ้วน เปรียบดังน้ำฝน(พระธรรม) โปรยตกลงมา ทำให้ตัวอวิชา(กิเลสปลอม)ที่มนุษย์โดนหลอก ถูกหลงทางมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ให้เหลือตัว วิชา คือธรรมะแท้ ที่มีสภาพความเป็นจริง นั้นเป็นอย่างไรเรียกว่า เป็นผู้เริ่มมี ปัญญาญาณ คือปัญญาทางโลกุตระธรรมแล้ว

ผู้ห่างธรรม เป็นผู้เสื่อม(จิตเสื่อมจากโลกุตระ จิตร้อนรน) 
ผู้ใกล้ธรรมเป็นผู้เจริญ(จิต มีความดับเย็น จิตภายในจิต จิตไม่ร้อนรน ทุรนทุราย จิตรู้ได้ ด้วยจิตเอง มีปัญญาญาณ ที่รู้แจ้งด้วยจิตเอง ในทางโลกธรรมเช่นกัน จิตร้อนรนภายในจิต ในจิตเอง มีปัญญาทางโลกที่มืดบอด หลงผิดว่า สุขแล้ว ในโลกียะสุข กิน กาม เกียรติ ลาบ ยศ สรรเสริญ ทรัพย์ สมบัติ รถ บ้าน โฉนดที่ดิน เมียสวยๆ ผัวรวยๆ ลูกน่ารัก ตระกูลเจริญแต่ทางวัตุกาม และ สมหวังในวัตถุกามที่มีวิญญาณ หารู้ไม่ แท้จริง เป็นสมบัติแห่งกิเลส ที่ซ่อนด้วยเปลวเพลิงร้อน เห็นแต่ปัญญาทางโลกอย่างเดียว แต่ขาดปัญญาทางธรรม.